แม่มดเป็นคำเรียกหญิงสาวและหญิงชราที่ใช้เวทมนต์คาถาได้ หรือมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว ตามตำนานเล่าว่าเธอมักจะมาพร้อมไม้คทา ไม้กวาด และลูกสมุนแมวดำ อีกทั้งแม่มดยังถูกมองในแง่ร้ายเสมอ โดยในช่วงยุคมืดของยุโรปได้มีการล่าแม่มด ซึ่งเป็นที่โจษจัน ถึงความโหดร้ายมาจนถึงปัจจุบัน

ทำไมต้องล่าแม่มด?
ในยุคมืดนั้น เป็นยุคที่ศาสนายิ่งใหญ่ที่สุด อยู่เหนือกษัตริย์และกองกำลังทหารทำให้คริสตจักรมีอำนาจตามมาด้วย จุดประสงค์ของการล่าแม่มด คือ การกำจัดความคิดเห็นที่แตกต่างทางด้านศาสนาเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจให้คริสตจักรมีความยิ่งใหญ่มากที่สุด สันนิษฐานว่าแม่มดเกิดจากการใส่ร้ายป้ายสีกัน หากรู้สึกไม่พอใจหรือเกลียดชังใคร เพียงแค่ใส่ความว่าคนคนนั้นเป็นแม่มด คนที่ถูกใส่ร้ายจะถูกจับเผาทั้งเป็นหรือโดนเนรเทศออกจากหมู่บ้านทันที โดยต้นกำเนิดของแม่มดนั้นมาจากค่านิยมช่วงหนึ่งที่ผู้หญิงชอบปรุงยาเครื่องหอมหรือส่วนผสมแปลกๆ พวกเธอเหล่านั้นจะถูกมองว่าเป็นแม่มด นอกจากนี้คนที่ชอบทำตัวแปลกแยก หญิงชราตัวคนเดียว สาวโสด ก็มักจะถูกหาว่าเป็นแม่มดด้วย เพราะไม่มีลูกหลานหรือคนในครอบครัวคอยปกป้อง อีกทั้งแมวที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจของคนเหงาก็พลอยติดร่างแหถูกหาว่าเป็นสมุนของแม่มดไปด้วยและต้องจบชีวิตลงด้วยการประหารแบบเดียวกัน คือ เผาทั้งเป็น จุดเริ่มต้นที่ทำให้แมวกลายเป็นสมุนของแม่มด เกิดจากการที่หญิงชรายากจนหรือหญิงสาวอยู่ตัวคนเดียวมักชอบนำแมวมาเลี้ยงแก้เหงาหรือให้อาหารแมวตามตรอกซอกซอย ซึ่งแมวดำมักถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายมากที่สุด ส่วนความเชื่อเรื่อง แม่มดขี่ไม้กวาดนั้นเกิดจากประเพณีของหมู่บ้านหนึ่งที่ชอบร้องเล่นเต้นรำกับไม้กวาดเมื่อคนที่ไม่คุ้นชินมาเห็นจึงมองว่าแปลกตาและนำไปโยงกับเรื่องแม่มด อีกที่มาหนึ่งก็บอกว่า ไม้กวาดมักเป็นของคู่กายของหญิง เนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคนั้นมีหน้าที่ต้องทำความสะอาดบ้าน อีกทั้งคำสารภาพของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่หนูมดคนหนึ่งกล่าวว่า เธอมีไม้กวาดไว้ใช้เป็นพาหนะขี่ล่องลอยไปบนท้องฟ้า ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่า คำให้การนี้เกิดจากการที่หญิงสาวคนนั้นเมายาจนเพ้อเจ้อไปเอง

แม้แม่มดจะมีอยู่จริงหรือไม่ ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการล่าแม่มดที่เคยมีอยู่จริงในยุคมืดของทางยุโรป ซึ่งภายหลังได้มีการแพร่หลาย ไปในประเทศต่างๆ ในปัจจุบันเองสังคมไทยก็มีการล่าแม่มดเหมือนกัน คือ การบูลลี่หรือรังแกคนที่มีความแตกต่างหรือความคิดเห็นต่างจากตน
