นับเป็นสถานที่ซึ่งหลายคนต้องวัดดวงกันมากเวลาที่ต้องไปนอนต่างที่ต่างจังหวัดหรือแม้แต่ต่างประเทศ ซึ่งโรงแรมคือที่พักซึ่งเราเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ กับการที่จะมาฝากความสบายและความเป็นส่วนตัวหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางหรือทำธุระต่างที่ทั้งวันในห้องพักของโรงแรมนั้น ๆ ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่ระวังว่านอกจาสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมแล้ว อาจจะมีของแถมเป็น เรื่องลี้ลับ “สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ” ด้วยล่ะ หึ…หึ เพราะไม่ว่าจะเป็นโรงแรมเก่าแก่หรือโรงแรมใหม่มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะโรงแรมทุกแห่งย่อมจะมีอยู่แล้ว แค่เพียงพวกเขาอยู่ในสถานะของการที่ต้องการออกมาปรากฏตัวให้เห็นหรือเปล่าก็เท่านั้น หรือคุณเผลอไปพูด กระทำการใด ๆ ที่ทับที่ ไม่ได้ขออนุญาต ลบหลู่เขาจนเขามาทำให้คุณนอนไม่ได้นั่นก็สุดที่จะรู้ได้ บางทีแต่ละห้องก็มีบ้างไม่มีบ้างด้วย แต่ที่รู้คือ วันนี้เราจะมาถ่ายทอดประสบการณ์ของครอบครัวหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้ไปพักโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเล็ก ๆ และพบกับ เรื่องราวสยอง ปนปริศนาในชื่อเรื่อง “สี สี”
เรื่องราวสยอง “สี สี” ประสบการณ์วิญญาณในโรงแรม
เรื่องราว “สี สี” ประสบการณ์วิญญาณในโรงแรม ได้ถ่ายทอดเรื่องประสบการณ์ของครอบครัวหนึ่งที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ และลูกที่เป็นเด็กเล็ก โดยผู้เล่าคือคนที่เป็นแม่ พวกเขาได้มีโอกาสเดินทางไปเลี้ยงฉลองงานแต่งของเพื่อนที่พัทยาและจองห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่งไว้เพื่อค้างคืนซึ่งคนที่จองก็คือเพื่อนที่เป็นเจ้าภาพงานแต่งงาน โดยพวกเขากะว่าเอาของไปเก็บที่โรงแรมแล้วก็จะไปงานแต่งงานของเพื่อนช่วงค่ำ ๆ หน่อย พอเดินทางจากต่างจังหวัดมาถึงพัทยาในช่วงเย็น ๆ ก็ได้มีการไปแวะเดินเที่ยวงานสินค้า OTOP และเข้ามาเช็กอินที่โรงแรมก่อนที่พนักงานจะให้กุญแจห้องพร้อมบอกชั้น ทางผู้เล่ากับสามีและลูกก็ขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นบน ไม่ขอกล่าวว่าเป็นชั้นใด โดยเมื่อมาถึงแล้วก็เดินไปที่ห้องตามหมายเลขกุญแจก่อนจะไขกุญแจ ทันทีที่ประตูเปิด ผู้เล่าสังเกตว่า ลูกของเธอมีอาการชะงักไปเล็กน้อยพรางมองเข้าไปที่ห้องน้ำก่อนจะชะเง้อคอมองดูสภาพโดยรวมภายในห้องอย่างเหวอ ๆ ทำให้ผู้เล่ากับสามีต้องมองตามสายตาของลูกก็ถึงกับอึ้งไม่แพ้กัน เพราะสีของห้องพักนั้นเป็นโทนสีแดงตัดกับสีเขียวล้วนแบบที่โรงแรมอื่นไม่น่าจะมีแบบนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดแปลก ๆ ทั้งวอลเปเปอร์ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ผ้าม่าน และอื่น ๆ ทุกอย่างมีแค่ 2 สีจริง ๆ แต่สามีที่ไม่ได้คิดอะไรก็บอกว่า “โรงแรมเขาเพิ่งมีการรีโนเวตห้องอาจจะดูแปลก ๆ แต่ก็เป็นแบบนี้ธรรมดาล่ะ ไม่มีอะไร” พวกเขาจึงนำสัมภาระไปเก็บและคิดว่าจะพักสักหน่อย แต่ลูกน้อยของพวกเขากลับเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ทำให้ทั้งสองคิดว่า ลูกตัวเองคงกลัวสีของห้องที่ทำให้บรรยากาศดูทึบ ๆ จึงตัดสินใจจะออกไปหางานแต่งของเพื่อนกันก่อนเวลาที่กำหนด ซึ่งพอออกจากโรงแรม ลูกของพวกเขาก็กลับมาเป็นปกติ เล่นได้ ตื่นเต้นกับงานที่จะไป
หลังจากที่พวกเขาได้ไปร่วมงานฉลองจนดึกดื่นแล้วเริ่มเหนื่อย ๆ ก็ได้ลาเพื่อนกลับมาพักที่โรงแรมเหมือนเดิม ทว่าพอถึงห้องพักเดิม ลูกของเขาก็ทำหน้าตกใจไม่ต่างจากครั้งแรกแต่คราวนี้ลูกเขารีบกอดผู้เล่าแน่นพร้อมพูดว่า “สี สี ไม่เอาสี!” จะทำอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าห้อง ทั้งคู่จึงคิดว่าลูกคงกลัวสีแดงกับสีเขียวที่ตัดกันในห้องน่าดูจึงพาลูกไปสงบสติอารมณ์ข้างนอกโดยนั่งรถเที่ยวเล่นจนลูกเริ่มเหนื่อย พวกเขาที่เห็นลูกหลับแล้วจึงพาลูกกลับมาที่โรงแรมและค่อย ๆ อุ้มย่องเข้าไปในห้องพักและวางตัวลูกให้นอนบนเตียง ทว่าพอวางลงเท่านั้น จู่ ๆ ลูกน้อยก็ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วถึงกับสะดุ้งร้องไห้ลั่นพลางพลิกตัวหันหน้ามาอีกด้านของเตียง ผู้เล่ากับสามีจึงได้ถามว่าเป็นอะไร ซึ่งลูกก็ได้แค่ชี้ไปทางห้องน้ำแล้วพูดคำเดิมว่า “สี สี” โดยขณะนั้นพวกเขาก็สังเกตเหมือนลูกจะตัวร้อนจึงคิดว่า อาจจะแพ้อาหารที่รับประทานไปหรือเปล่า หรืออาจเพลียจากการเดินทางที่หนัก จึงพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมและผลตรวจออกมาว่า ไม่เป็นอะไรมาก ให้กินยาเดี๋ยวก็ดีขึ้น พวกเขาจึงพาลูกกลับมายังห้องพักอีกครั้ง แต่คราวนี้ลูกทั้งร้องไห้ทั้งกรี๊ดพลางชี้ไปที่ห้องน้ำพร้อมพูด สี สี เหมือนเดิมจนสุดท้ายสามีของผู้เล่าก็ทนไม่ไหวเพราะเหนื่อยมากแล้ว ลูกก็ไม่ยอมเข้าห้องด้วยจึงเปลี่ยนใจว่าจะไม่พักที่โรงแรมแล้ว แต่จะขอไปค้างคืนที่บ้านเพื่อนแทน ซึ่งพอถึงบ้านเพื่อน ลูกของพวกเขากลับไม่ร้อนและนอนหลับสบาย พวกเขาจึงออกมาพูดคุยกับเพื่อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จนเพื่อนคนหนึ่งที่ยังคงนั่งแฮงค์เอ้าท์ฉลองงานแต่งอยู่ข้างนอกได้ยินจึงถามลอย ๆ ว่า “รึ ‘สี’ ที่เด็กพูดจะหมายถึง ‘ผี’ รึเปล่า” เพราะด้วยความที่ลูกพวกเขายังเล็กจึงพูดไม่ชัดทำให้ผู้เราเริ่มแอบใจคอไม่ดี แต่สามีที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้จึงไม่สนใจนัก
วันต่อมา พวกเขาก็ได้มาเช็กเอาท์ที่โรงแรมเพื่อเตรียมกลับ เพราะสัมภาระถูกนำมาไว้บนรถตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทวาจู่ ๆ ผู้เล่าก็นึกขึ้นได้ว่า ลืมไตปลาแห้งที่ซื้อมาจากงาน OTOP ไว้ในตู้เย็นของห้องพักจึงได้ให้สามีเป็นผู้ขึ้นไปเอาแล้วค่อยลงมาเช็กอิน ส่วนเธอกับลูกก็รออยู่ในรถ ซึ่งเมื่อสามีได้เดินไปเข้าลิฟต์ก็พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งที่มากับลูกศิษย์พร้อมขันน้ำมนต์ในมือ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร จนลิฟต์ได้มาถึงชั้นห้องพัก พระรูปนี้ก็เดินนำหน้าเขาออกมาและเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักของเขา! จึงทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ปกติแล้วที่ห้องพักจู่ ๆ ก็จะมีพระมาปัดน้ำมนต์ราวกับไล่อะไรสักอย่าง เขาจึงรีบขออนุญาตพระรูปนี้เข้าไปเอาของที่ลืมไว้ก่อนจะรีบออกมาโดยสังเกตได้ว่า พระรูปนี้มีสีหน้าฉงนเหมือนสงสัยว่า เขานอนห้องนี้ได้อย่างไร?
เมื่อลงมา เขาจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ผู้เล่าฟังทำให้ผู้เล่ายิ่งเกิดความสงสัยอยากรู้ แต่หากถามพนักงานโรงแรมก็คงเก็บความลับเก่ง จนมองไปแล้วเห็นมีลุงยามเฝ้าประตูทางเข้าโรงแรมอยู่จึงได้ให้สามีไปจอดรถตรงนั้นแล้วเธอก็ลงไปทักทายลุงพร้อมเล่าเรื่องต่าง ๆ ซึ่งทีแรกลุงยามจะไม่กล้าตอบ แต่ด้วยเธอบอกว่าลูกเธอขวัญเสียมากจริง ๆ และเธอสัญญาว่าจะไม่บอกใคร ความจริงจึงได้เปิดเผยว่า ห้องที่ผู้เล่ากับครอบครัวไปพักเคยมีนักท่องเที่ยวฝรั่งมาพักและผูกคอตายในห้องน้ำ ซึ่งมันตรงกับที่ลูกของเธอชี้ด้วยความกลัวทำให้เธอรู้ว่า “สี” ที่ลูกจะสื่อสารคือ “ผี!”นั่นเอง เธอจึงรีบเข้าไปถามลูกว่า สีที่เห็นเป็นยังไง ลูกจึงทำท่าแลบลิ้นกลอกตา ซึ่งด้วยความตกใจปนสะท้อนใจทำให้เธอรีบกอดลูกพร้อมขอโทษที่ไม่เอาคำพูดของลูกไปไตร่ตรองให้ดีซึ่งประสบการณ์นี้จะเป็นสิ่งที่เธอต้องจดจำไปตลอด แม้แต่สามีของเธอก็ต้องเชื่อ!
ข้อคิดจากเรื่องราว “สี สี” ประสบการณ์วิญญาณในโรงแรม
เรื่องราว เรื่องลี้ลับ “สี สี” ประสบการณ์วิญญาณในโรงแรม ได้บอกให้รู้ว่า การที่เราเป็นพ่อแม่ของใครสักคน เวลาที่เขาพยายามบอกหรือสื่อสารใด ๆ ก็ตาม เราควรจะฟังแล้วคิดถึงคำพูดของเขาให้ดีว่า เขาตั้งใจจะบอกถึงจุดประสงค์ใด มีประเด็นใด อย่าได้คิดในมุมของตัวเองก่อน
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days