หากจะกล่าวถึง เรื่องลี้ลับ ประสบการณ์เจอผีที่สุดหลอนและเขย่าประสาทของผู้คนทั่วไปที่พบกันมาก ไม่ว่าใครก็ย่อมจะนึกถึงพวกสถานที่ประเภทโรงพยาบาล วัด โรงแรม บนเขาบนดอย ป่าสวนทึบ ๆ หรือถนนหนทางในช่วงเวลากลางคืนที่มีความเปลี่ยวอย่างแน่นอน แต่สำหรับวันนี้เรามีประสบการณ์เจอผีสุดระทึกของผู้เล่าท่านหนึ่งที่ตัวเองเคยมีอาชีพเสริมค้าขายของโดยการหาบเร่ของซื้อของขายตัวเองไปตั้งตามตลาดในจังหวัดต่าง ๆ ของไทยเพื่อทำมาหากิน จนทำให้พบเจอกับเรื่องราวหลอน ๆ หลายแห่งมากจนเริ่มชินแล้วในปัจจุบันแม้ว่าจะไม่ได้ทำอาชีพขายหาบเร่แล้ว แต่สำหรับประสบการณ์หลอนเห็นผีที่สุดจริงในชีวิตและเป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า “ผีมีจริง!” ก็คือ ประสบการณ์ หาบเร่หลอน 3 ตลาดในจังหวัดราชบุรีที่ผู้เล่าการันตีว่า “ตลาด” สถานที่มีแต่เสียงหัวเราะและความน่าสนใจของใครต่อใครที่มาเดินเลือกซื้อของกันก็มีสิ่งเหนือธรรมชาติที่น่ากลัวไม่แพ้การอยู่ในสถานที่เห็นผีง่ายอย่างพวกโรงพยาบาลหรือตามป่าตามดอยเหมือนกัน ซึ่งจะเป็นอย่างไรวันนี้เราจะมาถ่ายทอดเรื่องราวย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อนของผู้เล่าให้ได้รู้
เรื่องราวประสบการณ์ “หาบเร่หลอน”

ประสบการณ์ “หาบเร่หลอน” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้เล่าหญิงท่านหนึ่งที่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เธออยากจะหารายได้เสริมจากงานประจำที่ตัวเองทำอยู่จึงได้มาทำงานค้าขายโดยการหาบเร่พวกของสดและของกินต่าง ๆ ที่เป็นของดีของเด่นในจังหวัดตัวเอง บ้างก็เป็นของที่พ่อของเธอทำมาลงขายตามตลาดต่าง ๆ ซึ่งรอบที่เธอได้ คือ เธอจะต้องไปหาบเร่ลงพื้นที่ขายของในตลาดทั้ง 3 ตลาดของจังหวัดราชบุรีตามอำเภอต่าง ๆ เพื่อกระจายสินค้าไปถึงคนที่มาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดนั้น ๆ โดยที่ทุกคนจะนั่งรถโดยสารที่เป็นบริการสำหรับคนที่มาส่งพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ต่างหากเพื่อพาแต่ละคนมาลงตามตลาดแต่ละแห่งที่ได้รับหน้าที่ให้มาขายของที่นั้น ๆ ซึ่งตลาดบางแห่งที่พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ได้ลงขายก็จะต้องมาลงขายคนเดียว แต่บางแห่งก็มีเพื่อนพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ด้วยกันมาลงขายตามแต่พื้นที่เช่าของตลาดต่าง ๆ ซึ่งมีพื้นที่พอให้ลงล็อกขายมากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลานั้น ๆ โดยแต่ละตลาดจะมีระยะเวลาให้พ่อค้าแม่ค้าขายของด้วยก่อนจะเดินทางไปลงขายของที่ตลาดอื่น เช่น ขายของในตลาดนั้นเป็นเวลา 2 – 3 วัน หรือขายของในตลาดนั้นแค่ 1 วัน แล้วรถโดยสารจะมารับไปอีกตลาดหนึ่งตามตาราง
โดยผู้เล่าได้ลงขายตลาดละ 1 วันเพราะเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาทำงานเป็นหาบเร่ขายของในตลาด และต้องลงขายของคนเดียวทั้ง 2 ตลาด ซึ่งตลาดแรกที่เธอได้ลงขายเป็นตลาดชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่หน้าวัด ทันทีที่รถจอดก็มีแต่พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ที่นั่งมาด้วยกันมองเธอพร้อมกับซุบซิบด้วยสีหน้าเป็นกังวล ซึ่งขณะที่เธอกำลังหาบของลงจากรถก็ได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นพูดแว่ว ๆ ว่า “มาครั้งแรกก็เจอของโหดแล้ว จะไหวเรอะเนี่ย” แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามที่จะไม่สนใจและเอาของลงไปไว้ที่ล็อกซึ่งอยู่หน้าตลาดพอดีก่อนที่รถจะขับออกไป เวลานั้นเป็นช่วงที่ตะวันเริ่มตกดินและพ่อค้าแม่ค้าในตลาดก็กำลังเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน แต่เธอต้องนอนที่ตลาดแห่งนี้ตามสไตล์ของคนหาบเร่ที่รู้กันดีว่า ไม่มีที่พักให้ก็ต้องนอนในพื้นที่ตลาดเพื่อที่ตื่นมาวันรุ่งขึ้นจะได้แสตนด์บายรอลูกค้าในตอนเช้าเลย ซึ่งผู้เล่าก็เตรียมเครื่องนอนมาอยู่แล้วจึงจัดการปูบนแคร่ไม้ตรงล็อกตัวเอง และขณะนั้นก็มีป้าแม่ค้าคนหนึ่งที่กำลังเดินออกนอกตลาดมาถามว่า
“หนูเป็นหาบเร่จากต่างจังหวัดคนใหม่หรือ? ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” พอได้ยิน เธอจึงไหว้คุณป้าคนนั้นและตอบออกไปก่อนที่ป้าจะว่าต่อ “ดีแล้ว ๆ รู้จักมาหารายได้เสริม ที่นี่ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวช่วงตี 3 ตี 4 ป้ากับคนขายของคนอื่น ๆ ที่นี่ก็จะมากันแล้ว นอนแป๊ป ๆ ก็เช้า” และเดินออกไป
หลังจากที่ทำภารกิจส่วนตัวต่าง ๆ เสร็จ ผู้เล่าก็เดินมานอนที่แคร่ไม้และหยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่นเกมโดยตะแคงหันหน้าไปทางฝั่งประตูวัดซึ่งเวลานั้นเป็นตอน 2 ทุ่มกว่าแล้ว ตลาดและถนนหน้าวัดมีแต่ความมืดทว่าด้วยความที่เธอเป็นคนไม่กลัวอะไรจึงรู้สึกชิลล์ ๆ นานเท่าไหร่ไม่รู้จนเธอเริ่มรู้สึกง่วงจึงหยุดเล่นเกมและว่าจะนอนหลับ แต่ขณะที่กำลังจะหลับตา เธอก็เห็นว่ามีกลุ่มชายหญิงสวมใส่เสื้อสีดำที่สภาพมอซอเดินต่อแถวออกมาจากประตูหน้าวัดด้วยสีหน้านิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรกันและต่างคนก็เดินเข้าไปตามตรอกซอกซอยละแวกบ้านคนในทิศทางที่ต่างกันเหมือนกำลังกลับบ้านซึ่งพอเธอมองเข้าไปในวัดก็ไม่เห็นว่าจะมีงานศพหรืองานวัดใด ๆ เลย ทุกอย่างมีแต่ความมืดสลัว จนคนในแถวเริ่มเยอะขึ้น ด้วยความอยากรู้ เธอจึงเดินเข้าไปที่แถวของคนเหล่านั้นเพื่อถาม แต่ก็ไม่มีใครตอบเธอราวกับพวกเขาไม่เห็นผู้เล่า จนกระทั่งท้ายแถวมีลุงคนหนึ่งที่สภาพผอมโซมองเธออยู่ ด้วยเขาเป็นคนเดียวที่เหมือนจะมองเห็นเธอ เธอจึงเดินเข้าไปถามว่า

“ลุง…พวกลุงไปทำอะไรในวัดกันมา ทำไมคนถึงเยอะกัน แล้วทำไมมีแค่ลุงที่เหมือนเห็นหนู?”
“ดีแล้วที่พวกมันไม่เห็นเอ็ง ถ้าพวกมันเห็นล่ะก็เอ็งคงจะไม่ได้มายืนพูดอยู่ตรงนี้ รึอยากจะให้เห็นล่ะ” ลุงถามอย่างยิ้ม ๆ
“แล้วทำไมถึงเห็นไม่ได้ล่ะ นี่มันเรื่องอะไรกันลุง หนูงงไปหมดแล้ว หรือคนพวกนี้ไม่ปกติ”
“อยากรู้อยากเห็นเสียจริง ได้! หากอยากรู้ว่าเมื่อพวกมันเห็นเอ็งแล้วจะเป็นยังไง งั้นข้าจะทำให้เอ็งเห็นกับตา” เมื่อว่าจบลุงก็แสยะยิ้มและดึงหัวตัวเองที่เต็มไปด้วยน้ำเหลืองออกมาขว้างใส่หน้าเธอจนผู้เล่าสะดุ้งตื่นด้วยป้าแม่ค้าคนเดิมที่มาเขย่าตัวปลุกพร้อมถามเธอว่า เหตุใดจึงมานอนอยู่หน้าวัด เธอจึงได้เล่าประสบการณ์หลอนให้ฟังก่อนที่ป้าจะบอกว่า “ลืมไปว่า เมื่อคืนเป็นวันออกพรรษา พวกหาบเร่จะเจอเหตุการณ์นี้กันเยอะ ทีหลังก็ระวังอย่าได้ไปทักอะไรล่ะ นี่ดีนะที่เจอแค่ขว้างหัว ไม่เหมือนหาบเร่คนอื่นที่เจอหนักกว่านี้มาแล้ว”
ทันทีที่ฟัง ผู้เล่าจึงประจักษ์ว่า นี่คือประสบการณ์เห็นผีครั้งแรกของตัวเองและเธอคงไม่สามารถขายของที่ตลาดนี้เพื่อจะค้างคืนที่นี่ต่อได้แล้วจึงรีบโทรไปหาพี่ที่เป็นคนดูแลเรื่องการรับ – ส่งหาบเร่ไปลงตามตลาดต่าง ๆ ว่าให้รีบเอารถมารับเธอด่วนพร้อมเล่าเหตุการณ์ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมให้เธอเปลี่ยนตลาดใหม่เป็นตลาดที่อยู่ห่างออกมาจากในชุมชนดังกล่าวซึ่งที่ตลาดนี้เธอก็ขายของแบบพอได้ จนถึงเวลานอนก็ต้องนอนคนเดียวเหมือนเดิม โชคดีที่มีลานศาลาไม้พื้นที่กว้างใหญ่แบบนอนได้หลายคนให้พักผ่อนติดกับตลาดจึงสบายกว่านอนบนแคร่ที่ตลาดเก่า โดยคืนนั้นระหว่างที่ผู้เล่ากางมุ้งนอนอยู่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงดึก แต่พอมาถึงตี 3 นิด ๆ เธอกลับสะดุ้งด้วยเสียงหัวเราะของเด็กที่ดังจนคิดว่า พ่อค้าแม่ค้าคงมากันแล้วและอาจเป็นเสียงของลูกหลานพวกเขาจึงเปิดมุ้งออกไปดู ทว่าทั้งตลาดทั้งศาลาก็มีแต่ความมืด ไม่มีคนเดินเข้ามาเลย เธอจึงคิดว่าหูแว่วและนอนหลับเหมือนเดิม แต่เสียงหัวเราะเดิมก็ดังข้างหูอีกทำให้เธอลืมตาขึ้นมาแล้วถึงกับตกใจเมื่อเห็นใบหน้าลาง ๆ ของเด็กหัวจุกยื่นเข้ามาติดผ้าด้านนอกมุ้งพร้อมฉีกยิ้มกว้างกว่าคนปกติแล้วพูดว่า “พี่นอนคนเดียว ไม่กลัวผีหรือ?” ผู้เล่าที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบคลุมโปงและสวดมนต์ ในขณะนั้นเองก็ไม่ได้มีแค่เสียงหัวเราะอย่างเดียว แต่ตามมาด้วยแรงกระทบกระเทือนของหลังคาศาลาที่เหมือนมีใครมาวิ่งเล่นก่อนจะมีเสียงกระโจนของคนลงมาตามด้วยเสียงเท้าที่ดังตุบจนสะเทือนพื้นศาลาไม้ที่ผู้เล่านอนอยู่ และก็เป็นเสียงวิ่งวนไปมารอบมุ้ง เธอจึงบอกในใจว่า “อย่ามาหลอกกันเลย พี่มาขายของทำมาหากิน หากพรุ่งนี้น้องช่วยให้พี่ขายของได้ดี พี่จะทำบุญให้” ซึ่งพลันจบสิ่งที่ขอไม่นาน เสียงทุกอย่างก็เงียบลงทำให้เธอรู้สึกโล่งใจแต่ก็ยังคงคลุมโปงด้วยความหวาดระแวงจนเผลอหลับ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นาฬิกามือถือปลุกตอนตี 4 และพ่อค้าแม่ค้าก็มาแล้ว ซึ่งวันนั้นเธอขายของได้ดีแบบเทน้ำเทท่าจนต้องโทรไปบอกพี่ที่ดูแลเรื่องรถว่า เธอสามารถไปขายของอีกตลาดหนึ่งต่อได้แล้ว เพราะของหมดสต็อกสำหรับตลาดนี้เรียบร้อย แม้จะกลัวแต่ก็ต้องขอบคุณน้องจุกมาก

จนมาถึงตลาดที่สาม ตลาดนี้เรียกได้ว่าบรรยากาศดีกว่าสองตลาดแรกมาก เพราะเป็นตลาดใหญ่ที่สะอาด มีพัดลม มีที่นอน และจุดบริการต่าง ๆ ครบครันพร้อมยามเฝ้าด้วย แบบตลาดทันสมัยของคนเมือง ซึ่งมาถึงตอนช่วงตะวันตกดินตามปกติ เธอก็จัดการทำภารกิจต่าง ๆ และว่าจะนั่งคิดแพลนขายของสำหรับพรุ่งนี้ แต่แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามานั่งล็อกตรงข้ามกับเธอซึ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งล็อกพร้อมก้มหน้าร้องไห้คนเดียวสักพัก บางครั้งเธอก็เห็นว่าคนนั้นหันมาเหลือบมองเธอนิด ๆ แต่สุดท้ายก็นั่งก้มหน้าด้วยความเศร้าเหมือนเดิม ซึ่งเธอที่เริ่มรู้สึกเป็นห่วงเพราะเห็นเขาร้องไห้อยู่นานจึงถามออกไปว่า “น้องเป็นอะไรหรือเปล่า?” แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบอะไรและร้องไห้เหมือนเดิมจนสุดท้ายเขาก็พูดออกมาคำหนึ่งว่า “แม่…ผมขอโทษ” ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นและวิ่งหายทะลุประตูอีกด้านหนึ่งของตลาดจนผู้เล่าตกใจและรีบวิ่งออกไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ยามฟัง ยามจึงเล่าว่า ผู้ชายคนนั้นเขาเผลอไปติดยาแล้วแม่รู้จึงไม่ให้อภัยเขา เขาที่เครียดหนักจึงตัดสินใจปลิดชีพตัวเองที่บริเวณตลาดแห่งนี้ แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นเขานานแล้วนะ เราคงดวงดี ผู้เล่าจึงคิดว่า “นี่ฉันคงทำบุญใหญ่เสียแล้ว เจอผี 3 ตลาดติดไม่ธรรมดาแล้ว!” คืนนั้นเธอจึงตัดสินใจไม่นอนและนั่งคุยกับยามไปจนเช้า เมื่อเสร็จสิ้นช่วงหาบเร่หลอนครั้งแรกจึงทำให้เธอรู้ว่าตัวเองไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวหรือทักทายด้วยความอยากรู้ในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
ข้อคิดดี ๆ จากประสบการณ์ “หาบเร่หลอน”
ประสบการณ์ “หาบเร่หลอน” ได้ให้ข้อคิดกับเราไว้ว่า อย่าได้เผลอไปทักทายหรือพูดคุยสิ่งใดเมื่ออยู่ต่างที่ต่างทางแม้ว่าเราจะสงสัยก็ตาม เพราะอาจจะทำให้เราไปจูนติดกับพลังงานลี้ลับหรือเจอลมเพลมพัดได้ซึ่งจะอันตรายต่อตัวของคุณมาก ติดตามกันต่อได้ที่ เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days