พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ เรื่องเล่าหลอน “กระจกผี” ทุกคนย่อมจะมีสิ่งของที่ตัวเองอยากซื้อหรืออยากได้มาครอบครองเป็นเจ้าของกันทั้งนั้น เพราะการที่ได้สิ่งของนั้นมาไว้กับตัวย่อมจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ สามารถใช้สิ่งของนั้นได้ในทุก ๆ วัน และอยู่กับการทำกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมสิ่งของนั้นอย่างสนุกสนานมีสไตล์ในแบบของตัวเองมาก ไม่ว่าจะเป็นสายบิวตี้ก็ย่อมจะซื้อพวกเครื่องสำอางและเครื่องบำรุงผิวกายต่าง ๆ มาแบบครบเครื่อง สายสุขภาพก็จะซื้อเครื่องปั่นอาหารเพื่อสุขภาพหรือเครื่องลดหุ่น กายบริหารต่าง ๆ มา สายแฟชั่นก็จะเลือกซื้อเสื้อผ้าสไตล์ตัวเองเพื่อสวมใส่ตามเวลาอันเหมาะสมและประดับตู้ และแม้แต่สายชอบของเก่าก็จะชอบซื้อพวกของมือสองที่มักผ่านกาลเวลามานานหรือเป็นของเก่าที่มีความสวยงามหายากแล้วมาสะสมด้วยความภาคภูมิใจเช่นกัน บางคนก็ซื้อมาเพื่อจะได้ใช้รำลึกถึงความทรงจำดี ๆ ในยุคอดีตที่ยังคงสวยงาม แต่ระวังด้วย! เมื่อขึ้นชื่อว่า “ของเก่ามือสอง” นอกจากความสวยงามตามเอกลักษณ์ของเครื่องใช้เครื่องประดับที่ออกแบบตามแนวคิดแบบสมัยก่อน มีร่องรอยสุดคลาสสิกตามกาลเวลาแล้วก็อาจมีความคุ้มค่าเกินไปอย่างการแถมผ.ผีมาด้วย!
เรื่องหลอน “กระจกผี”

เรื่องหลอน “กระจกผี!” ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์น่าสะพรึงที่ผู้เล่าทางบ้านกับภรรยาจำได้ไม่มีวันลืม เมื่อปีก่อน ผู้เล่ากับภรรยาได้มีโอกาสไปทำธุระที่จังหวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับบ้านของพวกเขาที่กรุงเทพมหานคร พอทำธุระเสร็จก่อนเวลา พวกเขาจึงแวะจอดรถข้างทางที่ร้านขายของเก่าแห่งหนึ่งซึ่งภรรยาของเขาเป็นคนที่ชอบพวกเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ ของตกแต่งเก่า ๆ ที่ยังสภาพดีอยู่แล้วจึงถูกใจร้านนี้ตั้งแต่ขามาที่ขับรถผ่านแล้ว ทันทีที่รถจอดเธอจึงรีบตรงดิ่งเข้าไปดูพวกโซนของประดับภายในบ้านตามชั้นต่าง ๆ ทันทีด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่ตัวผู้เล่าก็เดินดูโซนของตกแต่งสวนภายนอก ซึ่งเดินดูได้สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงบ่นของภรรยาเขาดังออกมาจากภายในตัวร้านซึ่งอยู่ในสุดจึงรีบวิ่งเข้าไปดูเพราะกลัวจะมีปัญหากับใครเข้า พอมาถึงก็พบว่า ภรรยาเขากำลังยืนเจรจากับเจ้าของร้านเพื่อขอซื้อกระจกโบราณบานหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในโซนจัดแสดงสินค้าขาย แต่ตั้งอยู่ในห้องเก็บของด้านหลังร้านซึ่งด้วยความที่ประตูเปิดออกตรงกับตำแหน่งที่วางกระจกทำให้เห็นกระจกดังกล่าวจากภายนอกได้พอดีกับสายตา
กระจกโบราณบานดังกล่าวเป็นกระจกยาวมีกรอบเหลี่ยมทำจากวัสดุไม้สลักลวดลายแบบศิลปะตะวันตกอย่างสวยงามแลดูคล้ายกับกระจกของละครเรื่องทวิภพ เขาจึงไม่แปลกใจว่าทำไมภรรยาของเขาที่หลงใหลในของเก่าไม้ ๆ สลักลายแบบผู้หญิง ๆ อยู่แล้วถึงถูกตาต้องใจกระจกบานนี้เป็นพิเศษ ขนาดเขาเองยังรู้สึกเลยว่า กระจกสวยขนาดนี้หากตั้งขายแป๊ปเดียวก็น่าจะมีลูกค้าสนใจซื้อได้ง่าย ไม่น่าเอามาเก็บไว้เองเลย
“ลุงคะ หนูขอซื้อต่อไม่ได้หรือ? ไหน ๆ ก็ไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว จะเก็บไว้ก็เสียดายแย่ กระจกสวย ๆ แบบนี้” ภรรยาของเขายังคงยืนยันที่จะซื้อให้ได้แม้จะเริ่มหงุดหงิดก็ตาม แต่ลุงเจ้าของร้านกลับเอาแต่ปฏิเสธท่าเดียวด้วยเหตุผลที่ว่า ตนไม่สามารถขายให้ใครได้ กระจกนี้เอาไปจะอันตรายได้ มันไม่คุ้มหรอก
เมื่อเห็นว่าภรรยาไม่ยอม ผู้เล่าจึงได้ลองเสนอราคาที่ค่อนข้างสูงเพื่อขอซื้อกระจกนี้ให้ภรรยาเขาเพราะเขาจะถือว่าเป็นของขวัญให้เธอในวันสำคัญด้วย ซึ่งพอได้ยินราคาที่เขาจะจ่าย ลุงก็ดูจะสนใจเป็นพิเศษ แต่พอหันไปดูกระจกอีกครั้งเขาก็มีสีหน้าเครียดเหมือนไม่กล้าขายให้เหมือนเดิม แฟนของเขาจึงได้ขอร้องอีกครั้งว่าตนอยากได้กระจกนี้จริง ๆ รู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษ จนสุดท้ายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมไปไหนง่าย ๆ หากไม่ได้กระจก ลุงคนขายจึงยอมขายให้อย่างไม่เต็มใจนัก ซึ่งภรรยาของเขาก็ดีใจมากถึงกับอุ้มกระจกออกไปเองหลังจากที่ห่อเสร็จเลย
ตกกลางคืนเมื่อมาถึงบ้านที่กรุงเทพมหานคร หลังจากที่เขากับแฟนได้ช่วยกันยกกระจกโบราณขึ้นมาตั้งไว้ในห้องของพวกเขาซึ่งตรงกับตำแหน่งตรงข้ามเตียงนอนแล้ว ภรรยาของเขาก็ได้ไปรับประทานอาหารและอาบน้ำจนเสร็จก็มาส่องกระจกด้วยความรู้สึกว่ายิ่งส่องยิ่งชอบ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ได้ใช้กระจกนี้ในทุกวันจนติดเป็นนิสัย เรียกได้ว่ากิจกรรมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป การเลือกชุด การหวีผม การแต่งหน้าก็มักจะยืนทำอยู่หน้ากระจกนี้ตลอดโดยไม่สนใจโต๊ะเครื่องแป้งเลย ซึ่งผู้เล่าก็คิดว่าภรรยาเขาคงคลั่งไคล้กระจกนี้จริง ๆ จึงไม่คิดอะไร
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ความหลอนได้เกิดขึ้น เมื่อผู้เล่าต้องกลับมาเอาของที่บ้านในช่วงกลางวันกะทันหัน เขาก็ขึ้นมายังห้องนอนเพื่อเอาของในลิ้นชัดตรงหัวเตียง แต่ในขณะที่เอาของเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาก็ได้ไปปะทะกับเงาในกระจกที่ทำให้เขาถึงกับร้องเฮ้ยออกมาด้วยความตกใจ เพราะแทนที่เงาในกระจกโบราณจะสะท้อนภาพเขา มันกลับเป็นภาพของผู้หญิงผมยาว ผิวซีด แต่งกายในชุดนอนสีขาว มีเล็บสีแดงยาวกำลังจ้องเขาด้วยความแค้นเคือง เขาจึงขยี้ตาอีกครั้งและพบว่า ภาพนั้นหายไปแล้วจึงคิดว่าตัวเองคงเหนื่อยมากจนตาฝาดไปเองจึงออกไปทำงานต่อ
และในคืนนั้นความน่ากลัวก็ได้กลับมาอีกครั้ง ในขณะที่ผู้เล่ากำลังนอนหลับอยู่ เขาก็ได้ฝันเห็นผู้หญิงคนเดิมยืนอยู่ในกระจกกวาดตามองพวกเขาด้วยความแค้นเคือง จนเมื่อเห็นว่าผู้เล่ากำลังมองเธออยู่ เธอจึงชี้ไปที่เขาพร้อมตะคอกเสียงดังว่า “มึงเอากูกลับไปที่ที่กูควรอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน!” ก่อนที่เสียงตะคอกนั้นจะเปลี่ยนเป็นเสียงกรี๊ดพร้อมกับร่างของผู้หญิงคนนั้นที่กระโดดขึ้นมาคร่อมเขาอย่างรวดเร็วทำให้เขาถึงกับสะดุ้งตื่นพอดีกับที่ภรรยาของเขาที่นอนข้าง ๆ เขย่าตัวพร้อมถามว่าเขาเป็นอะไร เธอเห็นเขานอนละเมอร้องเสียงดังแถมเหงื่อก็เต็มตัว กลัวจะไม่สบาย เขาจึงรีบจับมือภรรยาลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วพร้อมนั่งที่ห้องแล้วคุยถึงสิ่งที่เขาพบเจอมา แต่แฟนกลับหัวเราะด้วยความไม่เชื่อพร้อมบอกว่าเขาคงจะเหนื่อยเกินไปจริง ๆ แล้วขึ้นไปนอนต่อ แต่สำหรับเขาที่เริ่มกลัวทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้อีกในคืนนั้น

จนในยามเช้ามืดที่เขาต้องรีบออกจากบ้านเพื่อเตรียมตัวไปทำงานให้ทัน ผู้เล่าก็ขึ้นมายังห้องนอนด้วยความระแวงแล้วค่อย ๆ เปิดประตู เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติและแฟนยังนอนหลับอยู่ เขาจึงเข้าไปเอาผ้าขนหนูแล้วอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จ ผู้เล่าเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็พบว่า ภรรยาของเขาที่อยู่ในชุดนอนกำลังนั่งบนเตียงและหวีผมสีดำยาวที่ปิดบังใบหน้าส่วนข้างอยู่หน้ากระจก ซึ่งเขาก็เดินผ่านหน้าเธอไปเปลี่ยนเสื้อที่ตู้ของเขาซึ่งอยู่ข้างเตียง ทำให้ทั้งสองหันหลังให้กันและเขายังพูดกับเธอแบบติดตลกด้วยว่า “เช้าแล้วนะ ไม่ลงไปทำกับข้าวให้พี่หรือไง แหม ติดกระจกอย่างกับเป็นพี่น้องเลยนะ” แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือความเงียบจากอีกฝ่าย มีเพียงเสียงหวีที่ดังแกรก ๆ ด้านหลัง เขาจึงไม่สนใจอะไรและแต่งตัวต่อ ทว่าจู่ ๆ ความทรงจำของเขาก็แวบขึ้นมาว่า เมื่อคืนนี้ภรรยาของเขาไม่ได้แต่งชุดนอนสีขาวนี่ แถมชุดนอนสีขาวก็เหมือนกับชุดของ…
เมื่อคิดได้ว่า ผู้หญิงที่อยู่บนเตียงไม่น่าใช่ภรรยาเขา ผู้เล่าจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับไปมองร่างในชุดนอนสีขาวที่ยังคงหวีผมอยู่ ซึ่งพอเขาเห็นภาพที่สะท้อนในกระจกเป็นภาพของผีผู้หญิงตนเดิม และเธอก็เห็นในกระจกว่า ผู้เล่ามองอยู่จึงแสยะยิ้มพร้อมหัวเราะฮิ ๆ ออกมาเป็นเชิงว่า “รู้แล้วสินะ” ก่อนที่คอของเธอจะค่อย ๆ หันมาหาเขาในขณะที่ร่างยังคงหันไปทางกระจกอยู่พร้อมตะคอกใส่เขาเหมือนเดิมว่า “กูเตือนมึงแล้วนะ! เมื่อไหร่จะพากูกลับไปคืนที่สักที ถ้ายังไม่เอากูไปคืน มึงกับคนรักจะต้องเสียใจ” หลังจากนั้นร่างของอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นและเดินหายเข้าไปในกระจก
เหตุการณ์นี้จึงทำให้ผู้เล่าไม่สามารถทนไหวจึงตัดสินใจว่าจะไม่ไปทำงานแล้ว แต่จะเอากระจกบานนี้ไปคืนร้านพร้อมถามไถ่ความจริงจากปากเจ้าของให้ได้ เมื่อคิดดังนั้น เขาก็รีบแต่งตัวและเดินไปเพื่อจะยกกระจกลงไปไว้ที่รถ แต่ภรรยาของเขาที่ขึ้นมาเห็นพอดีก็รีบโวยวายถามเขาว่าจะเอากระจกไปไหน เขาจึงบอกเธอว่ากระจกนี้มีผี ถ้าเราไม่เอาไปคืนจะเดือดร้อนกันหมด แต่ภรรยาของเขากลับไม่สนใจและพูดว่า
“จะมีผีหรือไม่มีแต่มันก็เป็นกระจกของหนู หนูเป็นเจ้าของเพียงคนเดียวของกระจกนี้เท่านั้น ใครก็เอาไปไม่ได้ นี่เป็นทรัพย์สินของหนู พี่อย่ามายุ่งได้มั้ย!” นั่นจึงทำให้เขาถึงกับโกรธภรรยาและขณะเดียวกันก็ไม่กล้าทำให้ภรรยาเสียใจด้วย เพราะเธอดูจะหวงแหนกระจกนี้มาก เขาจึงตัดสินใจที่จะไปทำงานเหมือนเดิม และพยายามหาทางอื่นว่า ควรทำอย่างไรเพื่อจะไล่ผีออกไปจากกระจกได้โดยที่กระจกนี้ยังอยู่ในบ้านเขาเหมือนเดิม
จวบจนตอนค่ำที่เขากลับมาบ้าน ภรรยาของเขาที่เพิ่งกลับมาจากทำงานเช่นกันก็ยังคงเมินผู้เล่าเช่นเดิมเพราะเป็นครั้งแรกตั้งแต่คบกันมาที่ผู้เล่าล้ำเส้นในสิ่งของซึ่งเป็นทรัพย์สินเธอ และเขาเองก็เหนื่อยกับงานด้วยจึงเลือกที่จะทำหน้าที่จัดกับข้าวเย็นโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่ภรรยาของเขาก็เดินขึ้นไปอาบน้ำที่ห้อง
หลังอาบน้ำได้ไม่นาน ภรรยาของผู้เล่าก็เดินออกมาแล้วเป่าผมก่อนจะเดินไปหวีผมหน้ากระจกแบบที่ทำปกติ แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อจู่ ๆ ผิวเรียบของกระจกก็นูนขึ้นมากลายเป็นใบหน้าของผู้หญิงและเริ่มชัดมากขึ้นจนเห็นสีผิวซีด ดวงตาโตที่แทบไม่เห็นตาดำ ก่อนที่จะมีมือปริศนาทั้งสองข้างโผล่ออกมาจากภายในกระจกอย่างรวดเร็วพุ่งเข้ามาบีบคอเธออย่างแรงจนเธอหายใจไม่ออก อีกทั้งเล็บสีแดงยาวแหลมของคนในกระจกก็จิกตามเนื้อคอของตนจนเธอต้องร้องขอความช่วยเหลืออย่างเจ็บปวดพร้อมเสียงก้องห้องที่ตะคอกเสียงดังจากคนในกระจกว่า “กูคือเจ้าของกระจกนี้ ไม่ใช่มึง เอากูไปคืน!”
ฝ่ายผู้เล่าที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาตัวเองจึงรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนทันทีกับที่มือขาวซีดในกระจกนั้นปล่อยออกจากคอของภรรยาเขาก่อนจะหายไป เขาจึงรีบเข้าไปประคองภรรยาด้วยความเป็นห่วง แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร ภรรยาของเขาก็ร้องไห้บอกทันทีว่า “รีบเอากระจกนี้ไปคืนร้านเถอะพี่!”

หลังจากเกิดเรื่องพวกเขาจึงต้องมานอนกันที่ชั้นล่างและในเช้าวันต่อมา ผู้เล่าก็รีบเอากระจกขึ้นรถเดินทางไปคืนร้านที่ต่างจังหวัดอย่างรวดเร็ว ไปถึงก็พอดีกับที่เจ้าของร้านมาเปิดร้าน เขามองไปที่กระจกพร้อมส่ายหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว จึงรับกระจกนั้นไปไว้ที่ห้องเก็บของดังเดิมพร้อมเล่าว่า “ที่ผมไม่ขายเพราะกระจกนี้เขามีเจ้าของเก่านี่ล่ะ ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับกระจกนี้เพราะผมก็รับซื้อเขามาอีกที แล้วก็ขายต่อ เคยมีลูกค้าซื้อไปแล้วต้องรีบนำกลับมาคืนหลายรายแล้ว! จึงเอาไว้ในห้องเก็บของไง แต่แปลก…วันนั้นผมจำได้ว่าล็อกประตูไว้ แต่ไม่รู้ทำไมเดินมาอีกทีประตูถึงเปิดอยู่” ซึ่งเขาก็ไม่คิดเอาความใด ๆ และเมื่อทุกอย่างจบลง ภรรยาเขาก็ไม่คิดจะซื้อของเก่ามือสองอีกเลย
ข้อคิดดี ๆ จากเรื่องหลอน “กระจกผี!”
เรื่องหลอน “กระจกผี!” ได้ให้ข้อคิดว่า เราไม่ควรที่จะดื้อดึงหรือทำตามความต้องการของตัวเองในการอยากครอบครอบสิ่งที่มีข้อห้ามหรือเขาไม่ได้ให้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจ เพราะมันจะทำให้เกิดปัญหาตามมาทั้งกับตัวคุณเองและคนอื่น ๆ ด้วย ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days