พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ แม้ว่าในเวลานี้โลกของเราจะมีวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาททำให้มุมมองความคิดของผู้คนมีความสมเหตุสมผลและมีแนวคิดแบบคนตะวันตกซึ่งคิดทำสิ่งใดอย่างมีหลักการ เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่คุณรู้ไหมว่า เรื่อง “ไสยศาสตร์” นั้นไม่เคยหายไปจากเบื้องหลังของความเจริญต่าง ๆ ในหลากหลายประเทศเลย แม้ว่าจะไม่ได้มีการทำกันอย่างโจ่งแจ้งเหมือนสมัยก่อน แต่พวกไสยเวทย์ขาวหรือไสยเวทย์ดำก็ยังคงมีการทำอยู่ตามบ้านของคนที่เปิดสำนักหมอผี หรือสำนักต่าง ๆ ซึ่งการทำคุณไสยสมัยนี้ค่อนข้างน่ากลัวกว่าสมัยก่อนมาก เพราะมักจะทำอย่างลับ ๆ โดยที่เราไม่รู้ว่า มีใครที่โกรธหรือเกลียดเราแล้วทำของบ้างหรือเปล่า ของบางอย่างก็ไม่ได้ลอยมาแล้วเข้าตัว แต่อาจจะทำมาใส่ของขวัญหรือของรับประทานต่าง ๆ ก็ได้หมดในยุคนี้ คนเราย่อมรู้หน้าไม่รู้ใจ ควรระวังให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจจะพบเจอกับประสบการณ์หลอนอย่างผู้ที่เล่าเรื่อง “ส่วยขิ่น” ก็เป็นได้!
เรื่องราวหลอนของ “ส่วยขิ่น”

เรื่องหลอน “ส่วยขิ่น” ได้บอกเล่าเรื่องราวที่ “เฮีย ป.” เจ้าของร้านโจ๊กชื่อดังในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือได้ประสบมาอย่างไม่มีวันลืม ย้อนกลับไปเมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมา เฮีย ป. กับเจ๊ ส. ลูกน้องที่อยู่ในร้านส่วนมากจะเป็นชาวไทยใหญ่ มีลูกน้องอยู่หนึ่งคนชื่อ “ส่วยขิ่น” เป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดี แต่ใครจะไปรู้ว่า ส่วยขิ่นมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเฮีย ป. เจ้าของร้าน กระทั่งเจ๊ ส. รู้เรื่องระหว่างเฮีย ป. กับส่วยขิ่นที่เป็นกิ๊กกัน จึงลากส่วยขินมาทำร้ายและประจานหน้าตลาด ทำให้ส่วยขิ่นถึงกับอับอายจนต้องหนีไป จนถึงเวลาปิดร้านช่วงตี 3 – 4 เธอก็เห็นส่วยขิ่นมายืนอยู่หน้าร้าน และยื่นผ้าขาวคล้ายกับผ้าห่อศพให้เธอ โดยมีอักขระบางอย่างเขียนอยู่พร้อมพูดว่า “เก่าจะเฮ็ดเมา ๆ ๆ” ถ้าให้แปลเป็นภาษาไทยจะแปลได้ความประมาณว่า “กูจะเอามึง ๆ ๆ” เจ๊เห็นแบบนั้นก็ไม่พอใจเลยปัดผ้าทิ้งไป ส่วยขิ่นก็ล้มลงไปชักดิ้นชักงอ เจ๊เลยรีบวิ่งไปหาเฮีย ป. ให้รีบมาดูส่วยขิ่น พอกลับมาดูปรากฏว่าส่วยขิ่นหายไป ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
วันต่อมา ช่วงเวลาเช้ามืด เจ๊ ส.ก็เจอส่วยขิ่นมายื่นผ้าขาวที่เหมือนผ้าห่อศพพร้อมพูดคำเดิม เจ๊เลยไปเรียกเฮีย ป. มาดูก็เห็นว่าส่วยขิ่นลงไปดิ้นเหมือนเมื่อวาน แต่คราวนี้เธอกรี๊ดลั่นตลาด ทั้งคู่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งขึ้นไปชั้น 2 เพื่อโทรเรียกรถพยาบาล แต่กลับไม่เห็นส่วยขิ่นอีกแล้ว พวกเขาจึงได้แต่สงสัย ทว่าเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงตัดสินใจที่จะขึ้นมานอน แต่สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเข้ามาชนประตูเหล็กดัง ปั้ง ๆ ๆ ทั้งคู่จึงลงมาดู พบว่าเป็นส่วยขิ่นในภาพเลือดอาบตัวกำลังเอาร่างตัวเองพุ่งชนประตู และชูกระดาษพร้อมพูดเหมือนเดิม ครั้งนี้พวกเขาจึงตัดสินใจเข้ามาในบ้านเพื่อโทรหาตำรวจแต่เมื่อมาดูอีกทีก็ไม่พบส่วยขิ่นแล้ว
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนชนประตูอีกครั้งแบบถี่กว่าก่อนหน้าจึงลงมาดูก็พบกับ ส่วยขิ่นที่สภาพเหมือนคนโดนไฟคลอกท่วมตัว แล้วยื่นกระดาษมาให้พร้อมพูดคำเดิม คราวนี้ทั้งเฮีย ป. และเจ๊ ส. ต่างก็ตกใจรีบวิ่งหนีออกหลังร้านไป

จนวัยรุ่งขึ้น ร้านโจ๊กของเฮีย ป.ก็เกิดไฟไหม้ แต่ที่แปลก คือ ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานเห็นเขม่าไฟไหม้ในบ้าน เป็นรอยรูปร่างเหมือนคนนอนอยู่ แล้วเป็นลักษณะเหมือนยันต์อยู่ตรงกลาง เฮีย ป. เห็นดังนั้นเลยรีบออกไปตามหาส่วยขิ่น จนสุดท้ายก็ได้รู้จากคนสนิทของส่วยขิ่นว่า ส่วยขิ่นท้องกับเฮีย ป. แต่ก็ไม่มีใครตามหาเธอเจอ เฮีย ป.จึงทำใจไม่ได้ เลยทิ้งเจ๊ ส. แล้วหนีไปบวช
หลายปีต่อมา เฮีย ป. ที่บวชเป็นพระได้ยินข่าวว่าเจ๊ ส. ท้องและคลอดลูกของตนเองออกมา แต่ทั้งคู่เสียชีวิตแล้ว ด้วยอาการกระอักเลือดและมีดวงตาเบิกโพลงด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งคู่ หลังจากนั้นเฮีย ป. จึงได้ไปสืบหาส่วยขิ่นอีกครั้งหนึ่ง จนได้มารู้ความจริงที่น่าตกใจว่า ส่วยขิ่นเสียชีวิตไปนานแล้ว เสียแบบไม่มีลูกในท้องด้วย เพราะส่วยขิ่นได้ทำของ ให้ลูกในท้องของตนเองไปอยู่ในท้องของเจ๊ ส. เพราะเจ๊เป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกได้ เมื่อเฮีย ป. รู้เรื่องทั้งหมดก็เสียใจจึงตัดสินใจอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ตลอดชีวิตเพื่ออุทิศบุญและขออโหสิกรรมให้ทุกดวงจิต เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะเขาเอง มารู้ตอนนี้ก็สายแล้ว
ข้อคิดจากเรื่องหลอน “ส่วยขิ่น”

เรื่องหลอนส่วยขิ่น ได้ให้ข้อคิดว่า เราควรมีความรักที่ซื่อสัตย์ต่อคนคนเดียว หากเราไม่ซื่อสัตย์ต่อรักเดียวของเราก็จะกลายเป็นการสร้างบ่วงช้ำบ่วงแค้นให้กับคนอีกหลายคนที่เราพาเขาเข้ามาอยู่ในจุดที่เต็มไปด้วยตัณหา ราคะและความหลงที่ไม่หยุดอยู่แค่นี้ นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งความไว้วางใจและสูญเสียความดีของตัวเองด้วย ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days