พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ ในวันหยุดว่าง ๆ สำหรับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยใดหากครอบครัวไหนมีลูกเล็กเด็กแดงก็ย่อมจะพาไปในสถานที่ซึ่งเด็ก ๆ ชอบกันอย่างสวนสนุก สวนน้ำ สวนสัตว์ และห้างสรรพสินค้าที่มีของเล่นให้เลือกซื้อมากมาย อีกทั้งยังมีลานเล่นสนุกสนานสำหรับเด็กโดยเฉพาะด้วยอย่างแน่นอน โดยเฉพาะครอบครัวที่อยู่ในเมืองใหญ่ซึ่งไม่ค่อยจะมีเวลาพาลูกน้อยออกไปเที่ยวทางไกลกันนัก และอยากแฮปปี้ได้ความเพลิดเพลินใจทั้งผู้ใหญ่และเด็ก “ห้างสรรพสินค้า” นี่ล่ะที่เป็นสวรรค์แห่งการมาเที่ยวนอกบ้านของใครหลายคน อาหารก็อร่อย มีให้เลือกหลากหลายเมนู คาเฟ่ร้านกาแฟ ของซื้อของขายทุกระดับหลากหลายแบรนด์หลากหลายหมวดหมู่และบริการต่าง ๆ ก็มีครบครัน สวนสนุกในร่มก็มีให้เด็ก ๆ ได้เล่นเป็นชั่วโมง ๆ แบบไม่เบื่อได้ ดูแล้วห้างสรรพสินค้าทุกแห่งย่อมจะมีแต่ภาพจำของความครื้นเครงในแสงสีเสียงจนไม่มีใครคาดคิดว่า ผู้เล่าท่านหนึ่งที่พาลูกไปเล่น “บ้านบอล” ในห้างสรรพสินค้าเหมือนผู้ปกครองคนอื่น ๆ จะเจอผีได้!
เรื่องเล่าประสบการณ์เจอผีใน บ้านบอล

ประสบการณ์ “เจอผีในบ้านบอล” เป็นเรื่องราวของผู้เล่าทางบ้านท่านหนึ่งที่เขาและภรรยาได้เดินทางมาเที่ยวห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านกันในวันหยุดช่วงเย็น ๆ โดยภรรยาของเขาตั้งใจว่าจะไปเดินซื้อของเข้าบ้านและใช้เวลาเสริมสวยในร้านสักหน่อยซึ่งต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ผู้เล่าจึงรับหน้าที่พาลูกน้อยอายุ 4 ขวบขึ้นชั้นบนของห้างสรรพสินค้าไปเล่นสวนสนุกในร่ม โดยลูกของเขาก็ได้เลือกเข้าไปเล่นในบ้านบอล ด้วยความที่นี่เป็นครั้งแรกซึ่งเขาพาลูกมาห้างสรรพสินค้า เขาจึงกะว่าจะให้เวลาลูกได้เล่นบ้านบอลสัก 2 รอบให้คุ้มกับความอยากแล้วค่อยพาเดินไปดูของที่ร้านอื่น ๆ ทีหลังหากมีเวลาเหลือพอ
ในขณะที่ผู้เล่าส่งลูกเข้าไปในเล่นในบ้านบอลแล้ว เขาก็ออกมานั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งของโซนศูนย์อาหารที่ติดกับบ้านบอลเพื่อจะได้เห็นลูกชัดเจน เพียงไม่นานที่ลูกเขาเข้าไปเล่นในบ้านบอลก็ดูอีกฝ่ายจะเพลิดเพลินกับการปีนป่ายตาข่ายและกลิ้งไปกับบ่อที่เต็มไปด้วยลูกบอลอย่างตื่นเต้นดีทำให้เขาคิดว่า “โชคดีนะเนี่ยที่วันนี้บ้านบอลไม่ค่อยมีคนเลย อาจจะเพราะเป็นตอนเย็นแล้ว เด็ก ๆ ส่วนใหญ่เลยกลับบ้านกันไปก่อน ลูกของเราเลยได้มีพื้นที่วิ่งเล่นสบายใจ”
จนเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ผู้เล่าก็กลับจากเดินไปซื้อน้ำมาแล้วตั้งใจว่าจะเดินไปเรียกลูกจากบริเวณหน้าต่างบ้านบอลให้ออกมาดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยกลับไปเล่นใหม่ ตอนนั้นลูกของเขากำลังเล่นปีนป่ายเครื่องเล่นอยู่กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างสนุกสนานจึงบอกเขาว่า “จะเล่นกับพี่ก่อน” ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่เอะใจอะไรเพราะลูกคงจะติดลมอยากเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันตามประสาเด็กจึงปล่อยไปก่อน
เมื่อผ่านไปอีกสักพักเขาก็เห็นว่า ควรให้ลูกมาดื่มน้ำได้แล้ว จึงไปเรียกลูกอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ลูกเขาก็ทำท่าจะวิ่งมาหา แต่เด็กผู้ชายคนเดิมกลับจับมือไว้เป็นเชิงว่าไม่ให้ไป ลูกเขาจึงบอกอีกฝ่ายว่า “ดื่มน้ำ…เดี๋ยวมา” เด็กคนนั้นจึงยอมขณะที่ลูกออกมาดื่มน้ำกินขนม ผู้เล่าได้สังเกตเห็นว่า ตลอดเวลาที่ลูกตัวเองอยู่ด้านนอก เด็กผู้ชายคนนั้นก็คอยเกาะขอบหน้าต่างและจ้องลูกของเขานิ่งโดยไม่ไปเล่นต่อราวกับรอคอยให้ลูกกลับมาเล่นต่อ พอดื่มน้ำเสร็จลูกของเขาจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านบอลและวิ่งเล่นกับเด็กคนนั้น แต่เพียงไม่นานลูกของเขาก็ร้องเสียงดัง เขาและคนที่ดูแลบ้านบอลจึงเดินเข้าไปก็พบว่า ลูกของเขากำลังนั่งอยู่กับพื้นเบาะร้องไห้พร้อมชี้ไปที่เด็กผู้ชายซึ่งตอนนี้ยืนมองอยู่บนเครื่องเล่นนิ่ง ๆ ไร้อารมณ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พี่แกล้ง ๆ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้เล่าจึงบอกเด็กคนนั้นว่า ให้เล่นกันดี ๆ แบ่งกัน หากอยากให้น้องเล่นด้วยต้องเป็นเด็กดีนะ ทว่าเด็กผู้ชายคนนั้นกลับชักสีหน้าไม่พอใจและรีบคลานเข้าไปหลบภายในอุโมงค์กระดานสไลเดอร์อย่างรวดเร็วแทน เขาที่เห็นลูกมีรอยจากการล้มจึงถามว่าจะเล่นอีกหรือ? แต่ลูกของเขาก็ยืนยันที่จะเล่นต่อ เขาจึงให้ลูกไปเล่นต่อแม้จะแอบกังวลก็ตาม และตัวเองก็กลับมานั่งที่โต๊ะเดิมอีกครั้งพลางมองว่า เด็กคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใครถึงดูไม่ค่อยฟังผู้ใหญ่เลย แต่พอมองรอบด้านก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้ปกครองที่มานั่งดูเด็กในบ้านบอลสักคนยกเว้นเขาจึงเริ่มรู้สึกแปลก แถมเวลานี้ก็เหลือแค่ลูกของเขากับเด็กผู้ชายคนเดิมที่อยู่กันในบ้านบอลเท่านั้นด้วย
ในขณะที่ผู้เล่ากำลังนั่งรอเวลาให้หมดในรอบสุดท้าย ภรรยาของเขาก็ได้วีดีโอคอลมาและบอกเขาว่า ใกล้จะเสริมสวยเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะไปหาแล้วพากันไปเดินดูของอื่น ๆ กัน มาถึงลูกก็น่าจะหมดรอบบ้านบอลพอดี แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ จู่ ๆ เขาก็เห็นว่าภรรยาตัวเองมีอาการชะงักและได้จ้องมาที่หน้าจอใกล้ขึ้นก่อนจะมีสีหน้าราวกับตกใจบางอย่างและพูดขึ้นทันทีว่า “แม่เปลี่ยนใจแล้ว! พ่อลงมาหาแม่ที่ร้านน่าจะสะดวกกว่า รีบมาตอนนี้เลยนะ แม่เพิ่งนึกได้ว่ามีธุระต้องรีบกลับไปจัดการที่บ้านต่อด่วน ๆ เลย” ซึ่งแม้จะงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของภรรยา แต่ผู้เล่าก็รับคำอย่างไม่ว่าอะไรก่อนจะตัดสายและรีบเดินไปตะโกนเรียกลูก แต่เรียกกี่ครั้งลูกของเขาก็ไม่ตอบและไม่เห็นอยู่บริเวณด้านนอก เขาจึงคิดว่าคงอยู่บนเครื่องเล่นจึงเดินเข้าไปในบ้านบอลเพื่อตามลูกด้วยตัวเอง

เดินเข้าไปในบ้านบอลไม่กี่ก้าว ผู้เล่าก็ได้ยินเสียงลูกของเขาร้องออกมาจากภายในอุโมงค์สไลเดอร์ว่า “ถอยไปพี่…ถอยไป!” ทำให้เขาเกิดความตกใจรีบวิ่งไปชะโงกหน้าดูก็พบว่าบริเวณปากอุโมงค์สไลเดอร์ด้านล่างมีเด็กผู้ชายคนเดิมกำลังนั่งยอง ๆ ขวางอยู่ โดยที่ใกล้ปากปล่องของสไลเดอร์ก็เป็นลูกของเขาที่เกาะขอบเพดานไว้ไม่ให้ตัวเองลื่นค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อลูกเห็นผู้เล่าจึงร้องว่า “พ่อ! พี่ไม่ยอม จะไปแล้ว ๆ” ผู้เล่าจึงเดินเข้าไปสะกิดเด็กผู้ชายคนดังกล่าวพร้อมบอกว่าเขาไม่ควรขวางสไลเดอร์ เพราะนอกจากตัวเองกับลูกเขาอาจจะบาดเจ็บได้ และเขาต้องพาลูกกลับบ้านแล้ว แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมานั้นคือ ดวงตาที่จ้องเขาแบบขวาง ๆ ด้วยความโกรธที่ถูกขัดใจ และไม่ยอมถอยออกง่าย ๆ ด้วยความหงุดหงิดและคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมง่าย ๆ เขาจึงเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งของเครื่องเล่นและให้ลูกเดินลงบันไดมาหาเขาก่อนที่เขาจะจูงมือลูกเดินออกไปจากบ้านบอลอย่างรวดเร็วและหยิบสัมภาระจากไป ซึ่งหางตาเขาก็ยังคงเห็นว่า เด็กผู้ชายคนเดิมมายืนเกาะหน้าต่างบ้านบอลจ้องหน้าเขาด้วยความโกรธกว่าเดิม แต่เขาก็มองว่ามันคือเรื่องปกติของเด็กรุ่นนี้ที่อยากให้เพื่อนเล่นกับเขายาว ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เขารับรู้ถึงความไม่ปกติของสถานการณ์นี้ คือ เมื่อเขาพาลูกลงบันไดเลื่อนชั้นบนมาได้และกำลังพาเดินวนไปเพื่อจะลงบันไดเลื่อนอีกชั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นว่า เด็กผู้ชายคนเดิมที่ตอนแรกยังอยู่ในบ้านบอล ตอนนี้ได้มายืนเกาะขอบกระจกระเบียงชั้นบนของห้างสรรพสินค้าบริเวณทางลงบันไดเลื่อนจ้องเขาด้วยแววตาที่โกรธกว่าเดิม และพอเขาลงจากบันไดอีกชั้นและเดินวนเพื่อจะลงไปสู่ชั้นล่างที่ภรรยาเขารออยู่ก็ยังเห็นเด็กคนนั้นตามมาเกาะขอบกระจกระเบียงในชั้นเมื่อกี้ที่เขาเพิ่งเดินวนพลางจ้องเขาด้วยความโกรธที่คราวนี้ตาแทบถลนออกมาราวกับแค้นเคืองมากจนเขาถึงกับขนลุกและอึ้ง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนปกติจะลงบันไดเลื่อนมาเร็วแบบตามติดขนาดนี้ ยิ่งเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ด้วยยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แถมพ่อแม่เด็กก็ไม่น่าให้เด็กเดินมาไกลแบบนี้ด้วย
พอลงมาได้ เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเจอกับภรรยาเขาที่คอยหน้าบันไดเลื่อนพอดีซึ่งยังไม่ทันที่ผู้เล่าจะได้ถามว่า “ไหนแม่บอกให้ไปหาที่ร้านเสริมสวย” ภรรยาของเขาก็รีบจับมือและพาเดินลิ่วไปยังหน้าประตูอย่างรวดเร็วพร้อมพูดแค่ว่า “กลับเดี๋ยวนี้ ๆ ๆ” และต่อมาเมื่อรถของพวกเขาขับออกจากห้างสรรพสินค้า ภรรยาของเขาก็เล่าให้ฟังว่า ความจริงตนไม่ได้มีธุระด่วนอะไรหรอก แต่แค่ตอนนั้นตนไม่กล้าทักออกไปว่าช่วงที่กำลังคุยวีดีโอคอลมือถือกับผู้เล่านั้น ผู้เล่าวางมือถือไว้ระนาบกับโต๊ะทำให้มุมกล้องมองเห็นฉากหลังเป็นเพดานห้างสรรพสินค้าซึ่งเต็มไปด้วยท่อมากมายที่เชื่อมต่อกันเป็นแขนงตามแบบศูนย์อาหารและจะมีช่องว่างระหว่างเพดานกับท่อต่าง ๆ อยู่ จังหวะดังกล่าว เธอก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยื่นหน้าออกมาจากช่องว่างนั้นที่เป็นเงามืด ๆ โดยที่มือก็เกาะท่อชะเง้อลงมาจ้องมองผู้เล่าที่คุยวีดีโอคอลอยู่กับเธอด้วยความไม่พอใจบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแล้วจึงรีบให้เขาพาลูกออกมาจากตรงนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ผู้เล่ามั่นใจว่าต้องเป็นคนเดียวกันกับเด็กผู้ชายคนนั้นแน่ ๆ และต้องไม่ใช่คนแล้ว! พวกเขาสันนิษฐานว่า เด็กคนนั้นอาจเป็นวิญญาณอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ก่อนจะสร้างสวนสนุกในร่มก็ได้ เพราะเคยมีข่าวใหญ่อยู่ว่า เมื่อไม่กี่ปีก่อน ชั้นนี้เคยเป็นดาดฟ้าและมีสวนน้ำอยู่ด้านบน จนกระทั่งเด็กเล็กคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุจากเครื่องเล่นสไลเดอร์จนเสียชีวิตทำให้มีการปรับเปลี่ยนให้กลายมาเป็นอีกชั้นหนึ่งของห้างสรรพสินค้าและเป็นสวนสนุกในร่มแทน! น้องเขาคงจะเหงามาก

ข้อคิดจากประสบการณ์ “เจอผีในบ้านบอล”
ประสบการณ์ “เจอผีในบ้านบอล” ได้ให้ข้อคิดแก่ผู้ปกครองทุกคนว่า เราต้องดูแลเด็กเล็ก ๆ ให้ดีในทุกขณะไม่ว่าเขาจะทำอะไร เพราะการเล่นของเขาอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้เพียงแค่เสี้ยงวินาที หากไม่เป็นจากตัวของเขาเองก็อาจจะเกิดจากคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กด้วยกันเองที่เล่นแรง หรือคนแปลกหน้าที่ชวนไปไหนมาไหนแล้วลักพาตัวได้ ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days