พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ ในเวลาที่เราไปท่องเที่ยวตามภูเขาหรือบนดอย แน่นอนว่าระหว่างทางที่รถอยู่บนเส้นทางเลียบไหล่เขาสูงบางจุดก็ย่อมจะมีสถานที่ให้แวะชมวิวพักรถเล่นกัน ซึ่งหากเราได้มายืนอยู่ในจุดชมวิวของถนนบนเขาที่ยื่นออกมาริมผาก็จะได้เห็นความอลังการของทิวเขาสลับซับซ้อนที่อยู่รายล้อมรอบตัวมากมายและปกคลุมไปด้วยผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปหมดจนเหมือนโลกของเรามีแต่ผืนป่าที่ดูน่าค้นหาลึกลับ แต่ในจุดที่เราเห็นกันนั้น เราก็สามารถเห็นได้แค่ภาพรวม แต่ไม่สามารถจะมองเห็นไปถึงสถานที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตามภูเขาลูกต่าง ๆ หรือในป่าจุดนั้น ๆ ได้นัก แม้บางสถานที่อาจจะเห็นก็เห็นไม่ชัดและไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนจนความสงสัยในใจก็ย่อมจะเกิดขึ้นกับนักเดินทางท่องเที่ยวหลายคน โดยหากเป็นในยุคนี้เพียงแค่เราเสิร์ชกูเกิลก็จะรู้ว่าสถานที่ใกล้เคียงสำคัญ ๆ ตรงจุดที่เรายืนอยู่มีที่ไหนบ้างและจุดที่ตรงกับบริเวณนั้นที่เราเห็นแลนด์มาร์กเด่นไกล ๆ คือ สถานที่ใด ย่อมจะง่ายดายไปหมด แต่หากย้อนไปในยุคที่การค้นพบสถานที่ต่าง ๆ ยังมีไม่มากและไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตหรือสัญญาณโทรศัพท์เมื่ออยู่บนเขาได้อย่างประมาณ 50 ปีก่อน คุณจะรู้หรือว่ามี เรื่องหลอน “หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏบนแผนที่” ซึ่งคนรู้จักของผู้เล่าได้พบเจอด้วยตัวเองอยู่ด้วย!
เรื่องหลอน จากประสบการณ์เจอ “หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏบนแผนที่”

ประสบการณ์เจอ “หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏบนแผนที่” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อ 50 ปีก่อนของกลุ่มเพื่อนผู้หญิงวัยรุ่นชาวกรุงเทพ ได้แก่ คุณนัด, คุณสุดา, คุณแนน และคุณอีฟ ที่ได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดแห่งหนึ่งเพื่อกะว่าจะไปพักตากอากาศบนเขารับลมเย็น ๆ ซึ่งพวกเขาก็ออกเดินทางการตั้งแต่เช้าจนช่วงบ่ายนิด ๆ ก็ถึงช่วงอำเภอเล็ก ๆ ในหุบเขาของจังหวัดหนึ่งที่อยู่ใกล้กับจังหวัดจุดหมายของพวกเขาจึงได้แวะรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ทานข้าวกันก็มีการกางแผนที่พูดคุยเรื่องเส้นทางบนเขาที่จะต้องวิ่งผ่านซึ่งมีบางจุดที่ทุกคนไม่มั่นใจจึงคิดว่าจะถามพนักงานในร้าน แต่พนักงานในร้านกลับไม่สามารถพูดไทยได้เพราะเป็นคนชาติพันธุ์บนเขาซึ่งสมัยนั้นระบบการศึกษาและการให้สิทธิชนกลุ่มน้อยยังเข้าไม่ถึงคนเหล่านี้
เจ้าของร้านที่เป็นชนชาติพันธุ์เหมือนกัน แต่มาเติบโตในเมืองหลายปีแล้วจึงพูดสื่อสารได้จึงอาสาบอกทางพวกคุณนัดว่า “พอขึ้นเขาแล้วจะเจอทางสามแยก ซึ่งจะเลี้ยวไปทางซ้ายหรือไปทางขวาก็สามารถไปถึงจังหวัดจุดหมายที่เราต้องการได้ แต่แนะนำว่าหากไม่จำเป็นก็ควรไปทางขวาดีกว่าครับ เพราะคนปกติจะไปทางนั้นกัน ส่วนทางซ้ายจะเป็นทางลูกรังซึ่งเล็กมากและมีแต่ป่าเต็มสองข้างทาง คนที่เข้าไปทางนั้นมีแต่พวกที่ขึ้นเขาไปหาของป่า ไม่ค่อยมีใครได้เข้าไปเลย” เมื่อได้คำตอบ พวกคุณนัดก็กล่าวขอบคุณเจ้าของและเตรียมจะเดินทางกันต่อ แต่จู่ ๆ ก็มีพวกวัยรุ่นจิ๊กโก๋ประจำถิ่นที่มารับประทานอาหารในร้านแล้วพูดปั่นป่วนกระแซะความเป็นชาวกรุงของพวกคุณนัดซึ่งพวกคุณนัดก็ไม่ค่อยพอใจ เจ้าของร้านจึงพยายามที่จะเข้าไปห้ามพวกจิ๊กโก๋ดังกล่าว แต่ด้วยความที่เจ้าของร้านเป็นชนชาติพันธุ์ซึ่งคนเมืองอย่างอีกฝ่ายไม่ชอบอยู่แล้วจึงรุมทำร้ายเจ้าของร้านด้วยความหัวเสีย ซึ่งคุณนัดกับเพื่อนอีกคนก็เป็นพวกไม่ยอมใครอยู่แล้วจึงพยายามจะเข้าไปช่วยลุงเจ้าของร้านจนถูกรุมไปด้วย จนไม่นานจิ๊กโก๋ก็เดินออกไปแบบคนคึกคะนอง
คุณนัดได้รอยฟกช้ำมาเล็กน้อยเพราะมีทักษะการต่อสู้บ้าง แต่คนที่เจ็บหนักคือ คุณลุงเจ้าของร้านที่มีเลือดออกตามหน้าตาเต็มไปหมด อาการค่อนข้างสาหัส กับเพื่อนอีกคนที่เต็มไปด้วยรอยเขียวที่หน้าและแขนแต่ก็ยังพอไหวบ้าง คุณนัดจึงคิดจะพาคุณลุงไปโรงพยาบาลที่อยู่อีกอำเภอหนึ่งที่ต้องไปตามเส้นทางของพวกเธอพอดี ด้วยในอำเภอนี้ยังไม่มีความพร้อมด้านการแพทย์ แต่คุณลุงก็บอกว่า ตนไม่เป็นไร โดนทำร้ายหนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว แถมตนเป็นชนชาติพันธุ์จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล แม้ว่าคุณนัดจะบอกว่าตนจะจ่ายค่ารักษาให้และรับผิดชอบทุกอย่างแทนแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมอีกทั้งยังให้สิ่งของหนึ่งเป็นการขอบคุณที่ช่วยเขาด้วย นั่นคือ “สร้อยข้อมือที่ทำจากหนังสัตว์ร้อยด้วยลูกปัดหินหลากสี” ซึ่งเขาบอกว่าเป็นของน้องชายพ่อที่ตกทอดกันมา สิ่งนี้เป็นเสมือนเครื่องรางที่จะช่วยทุกคนได้ แม้ว่าพวกคุณนัดจะไม่ยอมรับมาเพราะเห็นเป็นของสำคัญมาก แต่เมื่อเจ้าของร้านดึงดันจะให้ พวกเธอจึงยอมรับมาและขับรถเดินทางต่อเพื่อจะรีบพาเพื่อนอีกคนไปให้ถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอ
รถของพวกเขาขับมาบนเขาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงสามแยกอย่างที่เจ้าของร้านบอกจริง ๆ แต่พอพวกเขาจะขับเข้าไปแยกขวาก็เห็นว่า ทางนี้เป็นถนนที่ค่อนข้างลาดชันลงไปแบบเอียงมากจนไม่กล้าเสี่ยงที่จะขับรถลงไปเลย ตรงกันข้ามกับทางแยกซ้ายซะอีกที่แม้จะเป็นทางลูกรังจริง แต่ถนนก็ดูจะราบกว่า แถมยังไปถึงจุดหมายได้เหมือนกัน พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเลี้ยวไปทางซ้าย ซึ่งพอเข้ามาแล้วแม้ถนนจะขรุขระแต่ก็ยังพอไปได้ ทว่าที่เริ่มแปลก คือ พวกเขาขับรถเข้ามาตามทางหลายกิโลเมตรแล้วก็ยังไม่พบกับทางออกที่เชื่อมถนนใหญ่เลย ยิ่งขับเข้ามา ทางก็ยิ่งขรุขระและเป็นเนินสลับกันไปมามากขึ้น แถมป่าที่อยู่ตามแนวเขาก็ขึ้นรกมากด้วย ท้องฟ้าจากที่เป็นเวลาเย็นตอนเข้ามาก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยความมืดของเวลากลางคืน ครั้นพวกเขาจะกลับหลังก็ไม่ทันแล้ว
พวกเขายังคงขับรถต่อมาจนสายตาของคุณนัดกับเพื่อนได้เห็นสิ่งก่อสร้างหนึ่งอยู่ในทางเล็กที่แยกเข้าไปเล็กน้อยมีลักษณะคล้ายกับบ้านคนที่มีลักษณะแปลกตรงที่จะมีการมุงแฝกคลุมหลังคาที่โน้มเอียงลงมาจนเกือบติดพื้นบ้าน ดูแล้วน่าจะเป็นบ้านของชนชาติพันธุ์แถบนี้จึงตัดสินใจจะเข้าไปขอความช่วยเหลือเพราะเพื่อนคนที่มีรอยฟกช้ำเริ่มจะเป็นไข้แล้ว เมื่อขับรถเข้าไปจอดถึงบริเวณลานบ้านท่ามกลางป่าไม้ คุณนัดก็เดินลงไปตะโกนเรียกคนแต่ก็ดูไม่มีใครอยู่จึงกลับมานั่งในรถแล้วคิดว่าคืนนี้อาจจะต้องจอดรถนอนเอาแรงกันก่อนเพราะเหนื่อยมามากแล้วแถมฝนก็มีท่าทีจะตกลงมาด้วยยิ่งอันตราย และให้ปฐมพยาบาลเพื่อนในเบื้องต้นไปก่อนโดยทุกคนก็เห็นตรงกัน เพียงไม่นานที่ปฐมพยาบาลเพื่อนเสร็จทุกคนก็พล็อยหลับอย่างรวดเร็ว
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่มีเสียงเคาะกระจกรถทำให้คุณนัดสะดุ้งตื่นและมองออกไปก็เห็นลุงคนหนึ่งในชุดชนเผ่าสีดำกำลังถือตะเกียงมาชะเง้อคอมอง เธอจึงรีบลดกระจกลงพร้อมกับคำถามของชายคนดังกล่าวว่า “พวกเอ็งหลงทางรึ” แม้ว่าจะสะดุดกับคำพูดที่ดูโบราณของลุงคนนี้แต่คุณนัดก็รีบเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังว่าพวกเธอจะไปจังหวัดดังกล่าว ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าสงสัยพร้อมบอกว่าไม่รู้จักสถานที่คุณนัดบอกเลย ทำให้คุณนัดไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จนลุงคนนั้นเห็นเพื่อนคุณนัดที่อาการไม่สู้ดีจึงรีบบอกให้คุณนัดกับเพื่อนเข้าไปที่โบสถ์ก่อนแล้วพรุ่งนี้เอาไงต่อค่อยว่ากัน
เมื่อไม่มีทางเลือก พวกคุณนัดจึงเดินตามลุงคนนั้นที่พวกเธอรู้ภายหลังว่าชื่อ “ลุงสิงห์คำ” มายังโบสถ์ที่มีลักษณะเป็นโบสถ์บูชาของชนชาติพันธุ์ซึ่งพอเปิดประตูเข้าไปภายในพวกเขาก็ต้องตกใจทันทีที่ลุงสิงห์คำจุดเทียนขึ้นมา เพราะภายในเต็มไปด้วยผู้คนชนชาติพันธุ์มากมายที่นั่งคุดคู้อยู่ที่นี่ ยังไม่ทันจะได้ถามลุงก็ล็อกประตูและบอกให้เงียบหากยังอยากมีชีวิตรอด และแม้จะได้ยินเสียงพูดภาษาไทยที่ลอดเข้ามาก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นมิตรไปเสียหมด ก่อนจะเดินไปแง้มหน้าต่างเปิดเล็กน้อยและเพียงไม่นานพวกเธอก็ได้ยินเสียงกราดยิงจากด้านนอกที่ระดมอย่างหนักจนสร้างความตกใจให้แก่พวกคุณนัดและชนชาติพันธุ์ทุกคนในห้องมากจนต้องรีบนั่งกองรวมกันด้วยความกลัวและคำถามที่เต็มไปหมด แต่น่าแปลกที่ทุกคนกลับรู้สึกว่าอยู่กับลุงสิงห์คำแล้วปลอดภัย เพียงไม่นานลุงสิงห์คำก็เดินมาพร้อมกับเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่มีอุปกรณ์และยาสมุนไพรรักษาอาการของเพื่อนคุณนัดที่บาดเจ็บซึ่งทุกคนก็กล่าวขอบคุณ ในขณะที่เด็กคนนั้นก็มานั่งข้าง ๆ คุณนัดและชี้ไปที่สร้อยข้อมือด้วยความสงสัยพร้อมพูดภาษาชาติพันธุ์ออกมาซึ่งคุณนัดก็ฟังไม่ออก เมื่อเด็กคนนั้นไม่เห็นคุณนัดตอบอะไรก็ดูจะเลิกสงสัยและนอนพักเอาแรงเหมือนกัน

ในช่วงเช้าที่ฟ้ายังไม่สางดี คุณนัดกับเพื่อนก็สะดุ้งตื่นด้วยแรงปลุกจากลุงสิงห์คำที่บอกให้พวกเขารีบไปขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ในหมู่บ้านซึ่งห่างกันไม่กี่กิโลนักจากโบสถ์ เพราะพวกเขาจะสามารถช่วยให้พวกคุณนัดหาทางออกจากป่าได้ ส่วนเขายังต้องคอยดูแลที่นี่อยู่ ตอนนี้ทางสะดวกแล้ว คุณนัดจึงคิดจะพาเพื่อนทุกคนออกจากโบสถ์ แต่ลุงสิงห์คำกลับบอกว่า ให้คุณนัดกับคุณสุดาไปหมู่บ้านได้แค่สองคน แล้วเขาจะดูแลเพื่อนอีกสองคนของคุณนัดที่โบสถ์ให้ เพราะหากให้เพื่อนคุณนัดที่ยังเป็นไข้หนักเคลื่อนไหวตอนนี้ไม่น่าจะดี และต้องมีเพื่อนอีกคนคอยดูด้วย พร้อมกับที่เขาได้ให้กริชมาแล้วบอกให้นำกริชนี้แสดงให้คนในหมู่บ้านดูแล้วพวกเขาก็จะเข้าใจเอง คุณนัดจึงตัดสินใจให้เพื่อนอีกสองคนรออยู่ที่โบสถ์แล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด
เมื่อขึ้นรถได้ ทั้งสองก็รีบขับรถออกจากบริเวณโบสถ์และกลับมาตามทางเล็ก ๆ เลียบหุบเขาท่ามกลางป่าไม้ที่ขรุขระซึ่งยิ่งขับก็ยิ่งรู้สึกว่าทางเล็กลงมาก และป่าไม้ก็ขึ้นเยอะกว่าเดิมจนคุณสุดาไม่อยากให้ขับไปต่อ แต่คุณนัดก็เชื่อว่าเดี๋ยวจะเจอหมู่บ้านแน่นอนจึงยังคงจะขับต่อไป คุณสุดาจึงรีบจับพวงมาลัยให้อีกฝ่ายกลับรถอย่างกะทันหันจนทำให้รถที่เคลื่อนตัวอยู่พลิกคว่ำและกลิ้งไปตามทาง แต่โชคดีที่ทั้งคู่ไม่เป็นอะไรมากนอกจากได้รอยขีดข่วนมาเล็กน้อย พวกเขาจึงค่อย ๆ คลานออกจากรถมาและได้เห็นว่าเวลานี้มีชนชาติพันธุ์มากมายวิ่งออกมาดูพวกเขาพร้อมถามเป็นภาษาไทยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งพอเห็นกริชที่คุณนัดถือ พวกเขาหลายคนต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกใจก่อนที่จะรีบพาทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งพวกเธอเพิ่งเห็นว่ามันอยู่หลังเนินถนนที่ขับมาไม่ไกล ในขณะที่คนบางกลุ่มก็รีบเข้าไปจับรถยนต์ของพวกเธอที่กระจกแตกไปหมดราวกับไม่เคยเห็นยานพาหนะนี้มาก่อน
คุณนัดกับคุณสุดาถูกพามาที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ โดยภายในบ้านก็เบาะที่นั่ง 3 เบาะ เบาะหนึ่งว่างเปล่า ส่วนอีกสองเบาะมีผู้หญิงสองคนนั่งอยู่ซึ่งเธอมารู้ทีหลังว่า พวกเขาเป็นหมอทรงประจำชนเผ่า และปกติหมอทรงจะมี 3 ตำแหน่ง แต่อีกตำแหน่งหนึ่งเป็นตำแหน่งของลุงสิงห์คำที่อยู่ในโบสถ์ และตอนนี้ป่าก็ปิดแล้วทำให้พวกเขาไม่สามารถพาพวกคุณนัดกลับออกไปได้หรือแม้แต่จะไปที่โบสถ์ก็ตาม ทั้งสองไม่เชื่อจึงลองเดินเพื่อจะกลับไปที่โบสถ์แต่ปรากฏว่าไม่มีทางให้เดิน! ตอนนี้ทางเข้าหมู่บ้านถูกปิดด้วยป่าที่รกทึบ ทำให้พวกเธอรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว แต่พวกเธออาจจะหลงมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีมนต์ลึกลับ แต่ด้วยความที่ทุกคนเป็นคนดีทำให้พวกเธอยอมที่จะทำตามที่เหล่าหมอทรงบอกว่าอีกไม่กี่วันป่าก็จะเปิดได้อีกครั้ง แล้วพวกเขาจะพาไปช่วยเพื่อนและพาทุกคนกลับบ้าน
ในระหว่างนั้นคุณนัดกับคุณสุดาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแบบที่พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสได้มาใช้ชีวิตดูการทำไร่ทำสวนและหัตถกรรมที่หายากแล้วในปัจจุบันในสถานที่แบบนี้ได้อยู่ และที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าสิ่งใด คือ หมอทรงคนหนึ่งที่มีอายุมากแล้วได้พาพวกเธอขึ้นมาตามเขาที่สูงชันและมาแสดงอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลที่มีอยู่จริงในถ้ำให้ทั้งสองเห็นพร้อมพาไปที่ผาหนึ่งซึ่งมักจะมีคนตายเพราะแอบขึ้นมาหาเหล็กไหลและของขลังจนความโลภทำให้พวกเขาถึงแก่ชีวิต อีกทั้งยังเล่าเหตุการณ์น่าสะเทือนใจที่ว่า ก่อนหน้าทุกคนเคยใช้ชีวิตอยู่บนเขาอีกฝั่งและเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่มาก จนกระทั่งเมื่อหลายสิบปีก่อน ผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งได้มาไล่ที่ของคนในหมู่บ้านเพื่อจะตัดไม้และเอาพื้นที่ทำประโยชน์ของตัวเองซึ่งทุกคนที่รักผืนป่าอันเป็นเสมือนบ้านของตัวเองก็ไม่ยอมจึงพยายามจะสู้สุดชีวิต แต่อาวุธท้องถิ่นก็ไม่อาจสู้อาวุธทางเทคโนโลยีอย่างปืนได้จึงทำให้ทั้งหมู่บ้านถูกบุกรุกจากลูกน้องของผู้มีอิทธิพลมากมาย ทำให้คนในหมู่บ้านต้องแตกออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มของคนที่จะเป็นด่านหน้าในการปกป้องหมู่บ้านตัวเองซึ่งลงไปยังโบสถ์ที่อยู่ด้านล่าง (กลุ่มลุงสิงห์คำ) กับกลุ่มชาวบ้านที่มีลูกเล็กเด็กแดงเป็นผู้หญิงมีครอบครับที่ย้ายมาอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาที่มีป่าไม้ปกคลุมทำให้ปลอดภัยจากอันตรายของคนเมืองได้ ซึ่งหมอทรงทั้งสองก็ได้อยู่ในกลุ่มนี้และใช้ในมนต์กำบังให้พลังของเจ้าป่าเจ้าเขาช่วยปิดไม่ให้คนเห็นหมู่บ้านนี้ ด้วยเหตุนี้ป่าจึงเปิดแค่นาน ๆ ครั้ง แม้ทั้งสองจะไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ! นั่นทำให้พวกเธออดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งกับคนในหมู่บ้านที่ต้องการปกป้องบ้านและผืนป่าที่ตัวเองรัก
ในไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดป่าก็ได้เปิด ชาวบ้านจึงได้นำกำลังส่วนหนึ่งพาคุณนัดกับคุณสุดาไปยังโบสถ์ซึ่งโชคดีที่รถยังสามารถขับได้อยู่จึงสะดวก เมื่อพวกเธอไปถึงก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าโบสถ์ที่เคยดูใหม่ในตอนนี้มีร่องรอยผ่านกาลเวลามานานและดูผุพังลงจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม คุณสุดาที่ห่วงเพื่อนจึงรีบวิ่งไปเปิดประตูโบสถ์แต่ปรากฏว่าเปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ได้ เรียกลุงสิงห์คำก็ไม่มีใครตอบ หมอทรงจึงได้คืนกริชให้คุณสุดาเอาไปเปิดประตู ซึ่งเธอก็นึกว่าจะส่งให้เพื่อนำมางัดประตูจึงรีบรับ แต่เพียงแค่ปลายกริชแต่ประตูเท่านั้น ประตูโบสถ์ก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสองมองเข้าไปในโบสถ์ก็พบว่า คุณอีฟกับคุณแนนกำลังนั่งกอดกันด้วยความตัวสั่นและเมื่อเห็นเพื่อนก็รีบพุ่งเข้ามาจับมือพร้อมบอกว่า “ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ทุกคนถูกกราดยิงตายเต็มโบสถ์เลย แต่ไม่รู้ทำไมพวกเราถึงรอดมาได้ ลืมตาอีกทีร่างของทุกคนก็หายกันไปหมด เหลือแต่โบสถ์เปล่า ๆ” หมอทรงจึงรีบบอกว่า ตอนนี้ป่าเปิดแล้ว ให้รีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด กลับไปตามทางเดิมแล้วจะพบทางออกในไม่ช้า เมื่อทั้งสี่รับคำและรีบกล่าวขอบคุณทุกคนในหมู่บ้านพร้อมขึ้นรถไม่นานโบสถ์ก็ได้ถล่มลงมาในทันทีราวกับว่าทุกอย่างถูกปลดปล่อยแล้ว
เพียงภาพนี้เกิดขึ้นชั่วพริบตา จู่ ๆ ภาพหน้าจอของทุกคนก็ถูกตัดวูบลงและลืมตาอีกทีก็พบว่าทุกคนฟื้นขึ้นมาที่ป่าริมถนนใหญ่แล้ว พร้อมกับที่ข้างกายพวกเธอมีรถยนต์ซึ่งจอดแอ้งแม้งอยู่ แต่พวกเธอมั่นใจว่าไม่ใช่ฝันแน่นอนและคิดว่าจะกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุดจึงรีบโบกรถจนมีคนมารับพวกเขาเข้ามาในอำเภอเดิมเพื่อเปลี่ยนรถไปยังกรุงเทพต่อ ซึ่งพวกเธอก็มาลงที่ร้านอาหารเดิมแล้วเข้าพบเจ้าของร้านที่ออกมาหาพวกเขาแบบงง ๆ คุณนัดรีบกล่าวขอโทษทันทีเพราะมารู้ตัวอีกครั้งก็ได้ทำสร้อยข้อมือของเจ้าของร้านหายไปแล้วพร้อมกับเล่าทุกอย่างให้ฟัง ซึ่งเจ้าของร้านก็ถึงกับน้ำตาไหลพร้อมบอกว่า พวกคุณอาจหลงเข้าไปเจอกับน้องชายคุณพ่อเขาก็ได้แต่เป็นอีกห้วงเวลาหนึ่ง เพราะคุณพ่อเขาเคยเล่าให้ฟังว่า หลายสิบปีก่อนตัวเองในวัยเด็กก็เคยเป็นคนของหมู่บ้านนั้น แต่เพราะการคุกคามจากผู้มีอิทธิพลทำให้น้องชายกับพ่อเขาต้องหนีกันไปคนละกลุ่ม น้องชายเขาหนีไปกับกลุ่มคนที่ไปโบสถ์ ส่วนเขาหนีไปกับกลุ่มคนอีกกลุ่มก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางลงมาอยู่ในเมืองกันจนมีเจ้าของร้าน นี่จึงเป็นเรื่องราวสุดหลอนของหมู่บ้านลับแลที่พวกเธอไม่คิดว่าในชีวิตหนึ่งจะได้สัมผัสเรื่องเหล่านี้
จนกระทั่ง 50 ปีต่อมา เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่ผู้เล่าจะได้มาเล่าเรื่องนี้ คุณนัดซึ่งเป็นป้าที่ผู้เล่ารู้จักก็ได้ติดต่อมาบอกผู้เล่าว่า ตนได้รับจดหมายจากคุณแนนที่เป็นเพื่อนในกลุ่ม โดยเนื้อความในจดหมายจะเป็นเนื้อความที่พวกเธอทุกคนในกลุ่มจะไม่ลืมตลอดไป!
“ถึง เพื่อน ๆ ทุกคน…ไม่รู้ว่าทุกคนจะยังจำเรื่องหมู่บ้านกับโบสถ์เมื่อหลายสิบปีก่อนที่เราได้เข้าไปพบได้ไหม แต่สำหรับแนน แนนฝันถึงสถานที่เหล่านี้ทุกคืนตั้งแต่กลับมาจนถึงปัจจุบันเหมือนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแนนไปแล้ว จนล่าสุดแนนได้ฝันถึงผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งที่แต่งกายแบบหมอทรงบอกแนนว่า…ฝากด้วยนะ ซึ่งแนนรู้ทันทีว่า เวลาของแนนได้มาถึงแล้ว แนนต้องกลับไปที่นั่นตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ แนนไม่เคยบอกใครว่าตอนนั้นที่อยู่ในโบสถ์แนนกลัวมาก ทุกคืนจะต้องทนเห็นแต่ภาพที่มีคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาและกราดยิงชนชาติพันธุ์ในโบสถ์จนล้มตายและมลายหายไปกับอากาศกันหมดก่อนจะวนลูปกลับมานั่งคุดคู้ใช้ชีวิตแบบหวาดระแวงเหมือนปกติและกลับมาถูกยิงอีกครั้งซ้ำ ๆ เดิม ๆ โดยมีแค่แนนกับอีฟที่ไม่ถูกยิงเท่านั้น ทุกอย่างเหมือนฝันร้ายที่ติดอยู่ในห้วงเวลาเดิม ๆ จนแนนได้แต่ร่ำร้องขอให้ผ่านมันไปได้สักที
มีครั้งหนึ่งที่ก่อนที่แนนจะรู้ว่าเหตุการณ์กราดยิงมันเป็นเพียงแค่การวนลูป แนนกลัวจนเสียสติเผลอวิ่งหนีออกจากโบสถ์พร้อมวิงวอนขอเจ้าป่าเจ้าเขาว่า…หากท่านช่วยให้ลูกสามารถออกจากที่นี่ไปได้ จะให้ลูกทำอะไรเพื่อตอบแทนลูกก็ยอม โดยที่ขณะนั้นก็ได้ยินลุงสิงห์คำตะโกนไล่หลังท้วงว่าอย่าขออะไรแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน ลุงสิงห์คำที่ได้ยินเสียงปืนอีกครั้งจึงรีบพาแนนเข้าไปในโบสถ์พร้อมกระซิบว่า…ไม่ทันแล้วไอ้หนูเอ๋ย ข้าห้ามแล้วก็ไม่ฟัง ในกาลข้างหน้าหากถึงเวลา เอ็งขออะไรก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาแล้วกัน แล้วตอนนี้ถึงเวลาที่แนนต้องไปทำหน้าที่ตามที่เจ้าป่าเจ้าเขาให้ไปทำแล้ว ไม่ต้องตามหาแนนนะ ฝากบอกลูกหลานและเพื่อน ๆ ของแนนด้วยว่า แนนรักทุกคน ” จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นคุณยายแนนที่หายไปอีกเลย

ข้อสันนิษฐานจากประสบการณ์เจอ “หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏบนแผนที่”
จากประสบการณ์เจอ “หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏบนแผนที่” คาดเดาได้ว่า กลุ่มผู้ที่พบเจอได้ถูกพาให้เข้าไปอยู่ในหมู่บ้านที่ทุกคนยังคงใช้ชีวิตแบบยุคสมัยโบราณเพื่อให้จิตใจยังคงผูกพันกับป่า ไม่หลงมัวเมากับแสงสีเสียง และปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ด้วยมนต์สะกดที่ชาวบ้านเผ่านั้นมีทำให้หมู่บ้านนี้คล้ายกับหมู่บ้านลับแลที่ถูกป่าปิดไว้จนไม่มีใครพบเจอได้เพื่อปกป้องทุกคน และคุณแนนซึ่งเป็นเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มก็ได้ถูกเชิญให้เข้ามาเป็นหมอทรงคนต่อไปของหมู่บ้านตามคำสัญญาเพื่อดูแลทรัพย์สินและป่าของหมู่บ้านต่อไป ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days