พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ ในเวลานี้ที่เราอยากไปพักผ่อนชาร์จแบตหลังเหนื่อยกับงานในชีวิตประจำวันมานาน แน่นอนไม่ว่าใครก็ต้องเลือกอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นจุดหมายของเส้นทางอยู่แล้ว เพราะสังขละบุรีเป็นอำเภอในหุบเขาแบบแอ่งกระทะที่ต้องขับรถขึ้นเขาผ่านโค้งที่ชันบางช่วงและคดเคี้ยวท่ามกลางป่าและสายหมอกกว่าจะมาถึงตัวอำเภอที่มีแม่น้ำซองกะเลียคั่นหมู่บ้านชาวไทยกาญจนบุรีกับหมู่บ้านชาวมอญที่มีสะพานไม้ขนาดยาวที่สุดในประเทศไทยเชื่อมสายสัมพันธ์ของคนทั้งสองหมู่บ้านได้อย่างสวยงาม จนเป็นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาที่นี่กันเยอะ และยังมีน้ำตกชื่อดังสวย ๆ อย่างน้ำตกหมวดเดชและน้ำตกเกริงกระเวียให้มาชมมาเล่นกันด้วย แต่ในวันนี้เราจะพาทุกคนมาสัมผัสกับประสบการณ์สยองขวัญในยุคสมัยก่อนที่มาจากประสบการณ์ของผู้เล่าที่เป็นคนเมืองใหญ่ซึ่งได้เข้ามาเที่ยวน้ำตกลี้ลับแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในหมู่บ้านของชาวเขาอีกซึ่งนักท่องเที่ยวแทบไม่รู้จักกัน ชื่อว่า “บ่องสะโหนดเบียง”
ประสบการณ์เรื่องเล่าน้ำตกสังขละ “บ่องสะโหนดเบียง”

เรื่องเล่าน้ำตกสังขละบ่องสะโหนดเบียง เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มนักท่องเที่ยวในสมัยก่อนที่ได้พากันไปเที่ยวที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งในวันแรกพวกเขาก็แพลนกันมาค้างคืนที่บ้านของคนรู้จักในตัวอำเภอและไปเดินเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเก็บภาพไปทำงานร่วมด้วย และมีแพลนว่าในอีกวันจะไปตั้งแคมป์กางเต็นท์ชิลล์ ๆ กันริมธารน้ำตก ซึ่งพวกเขาก็ได้รู้มาว่า บริเวณไม่ไกลจากหมู่บ้านของสังขละบุรีเท่าไหร่นั้นมีน้ำตกขนาดกลางที่สวยงามอยู่ในป่าเขาซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักกันนักจึงคิดว่า เป็นทำเลที่ดีในการที่พวกเขาจะได้เข้าไปตั้งแคมป์แบบแอดเวนเจอร์เป็นส่วนตัวกันตามประสาวัยรุ่น
ในวันต่อมา พวกเขาจึงได้บอกข้อมูลที่ได้ยินจากคนในพื้นที่เกี่ยวกับน้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปเกือบติดชายแดนซึ่งคนรู้จักน้อย ซึ่งพอครอบครัวของคนรู้จักพวกเขาได้ยินก็แอบสะดุ้งและถามเสียงสั่น ๆ ว่า “จะไปที่นั่นจริง ๆ หรือ? มัน…ค่อนข้างอยู่ไกลกว่าที่คิดนะ การเดินทางก็ต้องใช้รถท้องถิ่น ไม่ได้สะดวกสบายหรอก” แต่พวกเขาก็ยังยืนยันที่จะไป ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถคัดค้านใด ๆ ได้และหารถท้องถิ่นไปให้ซึ่งกว่าจะมีรถในท้องถิ่นยอมขับไปให้ก็ใช้เวลานานอยู่
เมื่อได้รถแล้ว พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะนั่งขึ้นเขาที่ลาดชันไปจนกระทั่งถึงทางเดินเท้าเข้าไปยังน้ำตก ซึ่งคนขับรถก็ได้ช่วยยกสัมภาระลงมาวางไว้พร้อมกับบอกว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมารับ รีบออกมากันด้วยล่ะ และหากได้ยินเสียงอะไร หรือมีอะไรผิดปกติก็อย่าออกมาจากเต็นท์เป็นอันขาด ที่นี่ปกติคนไม่ค่อยมาเที่ยวกันหรอก หากไม่ใช่พวกคนหาของป่า” พร้อมกับชี้ให้เดินเข้าไปตามทางอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยว่า ทางมันลำบากถึงขนาดที่คนขับช่วยเดินเข้าไปส่งไม่ได้เลยหรือ แต่ก็พยายามจะไม่สนใจ ก่อนจะพากันค่อย ๆ แบ็คแพ็กกันข้ามเนินเล็กน้อยตามเส้นทางในป่าสีเขียวจนมาพบกับธารน้ำตกที่สวยงามซ่อนตัวอยู่กลางเขา เต็มไปด้วยเกาะแก่งหินปูนมากมายที่น้ำไหลเซาะเป็นทางยาวคดเคี้ยวสวยกว่าน้ำตกท่องเที่ยวบางแห่งของจังหวัดอีกต่างหาก แถมมีลานกว้างมากพอให้ทำกิจกรรมแคมป์ปิ้งได้สบาย ๆ หากเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็คงจะดังไม่น้อย มาถึงแล้วพวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะกางเต็นท์และแบ่งฝ่ายกันจัดเตรียมอาหารเพราะกว่าจะหารถได้และใช้เวลานั่งรถ รวมถึงเดินเท้าก็เย็นพอดี
หลังจากที่กลุ่มนักท่องเที่ยวทำกิจกรรมรับประทานอาหาร ดื่มของมึนเมา และร้องเพลงกันแล้วก็เป็นเวลาที่ดึกพอดี ซึ่งในเวลานั้นหลายคนเริ่มจะเมากันจนหลับไปกับเก้าอี้พับ เหลือแค่เพียงสองคนที่ยังคงนั่งคุยสัพเพเหระรับลมเย็น ๆ จังหวะนั้นเองพวกเขาก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดชาวเขาเดินแหวกต้นไม้ออกมาจากป่าในจุดที่ไม่ไกลจากที่พวกเขานั่งนักพร้อมย่ามและมีเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขน พวกเขาที่เห็นท่าทีร้อนรนของหญิงชาวเขาคนนี้จึงตะโกนถามออกไปว่า “ดึกดื่นแล้วจะไปไหน?” ซึ่งชาวเขาคนนั้นพอได้ยินก็เหมือนชะงักเล็กน้อยที่มีนักท่องเที่ยวมาอยู่ที่น้ำตกแห่งนี้ แต่ก็ยิ้มและตอบไปด้วยสำเนียงที่ไม่ชัดเจนนักว่า “ลูกไม่สบายจ้ะ เลยลงจากเขาจะพาลูกไปหาหมอ”

คนฟังแม้จะแอบสงสัยว่า ดึกดื่นขนาดนี้แล้วเป็นผู้หญิงคนเดียวด้วยจะเดินไปหาหมอไหวได้อย่างไร แต่อีกใจก็คิดว่า บ้านหมออาจจะอยู่ไม่ไกลและพวกเขาก็อาจทำแบบนี้กันมาเป็นประจำอยู่แล้วจึงได้แค่พยักหน้าและบอกให้ระวัง ๆ ด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็กล่าวขอบคุณก่อนจะรีบวิ่งหายไปยังป่าอีกฝั่ง ส่วนพวกเขาก็รีบปลุกกันให้เก็บข้าวของแล้วไปแยกย้ายกันไปนอนในเต๊นท์
ในคืนนั้นที่พวกเขานอนไปได้สักพักใหญ่ จู่ ๆ ก็มีหนึ่งในนั้นสะดุ้งตื่นด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังเดินไปมารอบเต็นท์ แม้จะพยายามปลุกคนข้าง ๆ แต่ก็ไม่มีใครตื่นเลย กระทั่งมีเสียงหัวเราะดังขึ้นว่า “พวกเอ็งลบหลู่สถานที่ หนีไปไหนก็ไม่รอดหรอก” เขาที่คิดว่าต้องไม่ใช่คนแล้วจึงทำได้แค่คลุมโปงอย่างสั่น ๆ จนสติดับวูบไปเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้
วันต่อมาพวกเพื่อน ๆ ก็ได้มาปลุกเขาพร้อมกับที่ต่างคนต่างก็ล้างหน้าเพื่อเตรียมจะกลับไปค้างที่หมู่บ้านอีกรอบก่อนจะกลับในวันพรุ่งนี้ ซึ่งทุกอย่างก็ปกติ ทุกคนเก็บข้าวของและออกจากน้ำตกไปเจอกับรถที่มารับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ถามพวกเขาว่าเจออะไรหรือไม่ พวกเขาจึงตอบว่าไม่มีอะไร ทำให้คนขับเงียบไป
กระทั่งมาถึงในหมู่บ้าน พวกเขาก็ได้มีการขึ้นมาพักผ่อนในห้องและกะว่าจะพักกันยาว ๆ ให้คลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางตามอัธยาศัยของแต่ละคนไป ทว่าจู่ ๆ เพื่อนคนหนึ่งก็มีอาการไข้ขึ้นสูง ชักและตาขวางสะบัดทุกคนที่เข้ามาใกล้แถมยังพูดจาเป็นภาษาเพื่อนบ้านด้วย พวกเขาจึงได้พากันจับตัวไปที่อนามัยอย่างทุลักทุเลพร้อมกับสวมใส่สร้อยพระจนสงบลงได้เล็กน้อย ซึ่งอาการนี้ทำให้ทุกคนในอนามัยต่างก็หวาดกลัวกันมาก จนมีชาวบ้านคนหนึ่งที่ดูอาวุโสเดินเข้ามาหาในขณะที่พวกเขากำลังเล่าว่าก่อนเกิดอาการนี้ได้ไปทำอะไรที่ไหนมาบ้างซึ่งฝ่ายนั้นได้ถามพวกเขาว่า
“น้ำตกที่พวกเอ็งไปคงไม่ใช่บ่องสะโหนดเบียงหรอกนะ!”
แม้จะงงกับคำถามของชายคนนั้น แต่พวกเขาก็ได้เล่าข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับลักษณะสถานที่ซึ่งชาวบ้านทุกคนก็ดูจะตกใจกันมากแม้แต่หมอก็เช่นกัน ชายคนนั้นจึงได้เปลี่ยนให้เพื่อนของพวกเขาไปที่วัดแห่งหนึ่งแทนก่อนจะให้พระสวดทำพิธีบางอย่างและดื่มน้ำมนต์จนทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ชายคนเดิมจึงได้เล่าว่า
“น้ำตกที่พวกเอ็งไปชาวบ้านเขาเรียกว่า ‘บ่องสะโหนดเบียง’ สมัยก่อนชาวชาติพันธุ์ก็มีหมู่บ้านตั้งอยู่บริเวณป่าเขาตรงนั้นเหมือนกัน เป็นหมู่บ้านใหญ่ด้วย แต่เพราะมีการเข้ามาของสารตะกั่วจากทำอุตสาหกรรม ทำให้สารไหลมาปนเปื้อนน้ำในธารน้ำตก พอชาวบ้านที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับการอาบน้ำ ตักน้ำใช้ประโยชน์ในการทำมาหากินรับสารนี้เข้าไปจึงทำให้เกิดโรคระบาดและตายกันเกลื่อนจนรกร้างเป็นป่าหมดแล้วตอนนี้ และในอดีตที่น้ำตกนี้ก็เป็นค่ายทหารพม่าเถื่อนด้วย มีการยิงเกิดขึ้นจนศพลอยในลำธารกันระนาว ใครมาที่น้ำตกนี้ก็เจอผีกันทั้งนั้น!”
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะไปเที่ยวสถานที่ซึ่งไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวอีกเลย หรือแม้แต่การนำของมึนเมาไปในที่ต้องห้ามก็เช่นกัน ยังดีที่พวกเขาช่วยเหลือเพื่อนทัน และสุดท้ายก็กลับออกจากสังขละบุรีได้!

ข้อคิดดี ๆ จากเรื่องเล่าน้ำตกสังขละ “บ่องสะโหนดเบียง”
เรื่องเล่าน้ำตกสังขละบ่องสะโหนดเบียง ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า การที่เราจะเข้าไปในสถานที่ใดก็ตามล้วนแล้วแต่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่และไม่ประพฤติสิ่งที่ไม่ดีซึ่งเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือดวงวิญญาณในสถานที่นั้น ๆ ด้วย เวลามาตั้งแคมป์หรือทำกิจใด ๆ ก็ตามในท้องถิ่นจึงต้องได้รับคำแนะนำจากคนในท้องที่ก่อนว่าต้องปฏิบัติตัวเช่นไร ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days