พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ คุณเชื่อในเรื่องของ “ปอบ” หรือไม่? แน่นอนว่าหากเป็นคนภาคกลางก็อาจจะมีความเชื่อในเรื่องนี้กันน้อย พราะภาคกลางไม่ค่อยจะมีในเรื่องคุณไสย พิธีกรรมบูชาผีเหมือนอย่างภาคอื่น ๆ ทำให้เราไม่ค่อยได้อยู่กับเรื่องเหล่านี้นัก แต่หากใครเป็นชาวเหนือหรือชาวอีสานก็ย่อมจะรู้ว่าเรื่อง “ปอบ” นั้นมีอยู่จริง และน่ากลัวมากกว่าผีอื่น ๆ ด้วย เนื่องจากปอบเป็นผีที่มีต้นกำเนิดมาจากผู้เล่นคาถาอาคม หรือคุณไสยแล้วของเข้าตัวจนเสียชีวิตทำให้กลายเป็นวิญญาณผีที่ไม่มีที่อยู่และมีความสามารถมีฤทธิ์ในการเข้าสิงสู่คนที่มีจิตสัมพันธ์กันหรือร่างกายอ่อนแอจนสามารถเข้าสิง แถมยังแฝงอยู่ในร่างของคนคนนั้น ทำทุกอย่างเหมือนเจ้าของร่างจนผู้คนหลงเชื่อว่ากำลังคุยกับคนปกติ แต่ธรรมชาติของผีปอบมักจะฉายออกมาในช่วงกลางคืนและช่วงที่ร่างกายเริ่มป่วยทำให้สังเกตความผิดปกตินี้ได้ ซึ่งชาวอีสานจะอยู่กับปอบมาเยอะจนมีความรู้ในเรื่องนี้กัน ซึ่งวันนี้เราก็จะมาเล่า เรื่องเล่าสยอง ประสบการณ์ของผู้เล่าท่านหนึ่งที่ได้ประสบพบเจอกับปอบตัวต่อตัวเมื่อหลายปีก่อนจนเกือบตกเป็นที่สิงร่างแล้วหากไม่ได้คนช่วย!
เรื่องเล่าสยอง “หญิงที่ยายเลือก”

เรื่องเล่าสยอง “หญิงที่ยายเลือก” ผู้เล่าทางบ้านท่านหนึ่งที่เป็นผู้หญิงได้เล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เธอได้มีโอกาสเดินทางมาเยี่ยมญาติที่อยู่จังหวัดในภาคอีสาน บ้านของญาติจะเป็นบ้านไม้ใต้ถุนยกพื้นสูงตามฉบับเอกลักษณ์ของบ้านชาวอีสานท้องถิ่นที่เรียบง่าย ทุกอย่างก็ดูปกติดี มาถึงเธอก็ได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเองกับญาติ ๆ และจัดสัมภาระในห้องนอนที่ทางญาติเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ช่วงบ่าย ๆ ก็ได้ออกมาช่วยญาติเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น แต่เพราะวัตถุดิบของสดพืชผักยังขาดอยู่ ผู้เล่าจึงได้อาสาไปซื้อของที่ตลาด นับเป็นโอกาสที่ดี เธอจะได้ไปดูของกินอื่น ๆ ที่ตลาดพร้อมกับสำรวจตัวเมืองไปด้วยว่าจังหวัดนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง เพราะเธอคิดจะมาค้างคืนที่บ้านญาติประมาณ 3 – 4 วัน เผื่อจะได้ออกมาเที่ยวบ้าง
เมื่อมาถึงตลาดที่ห่างจากบ้านญาติมาเล็กน้อย ผู้เล่าก็ได้เดินซื้อผักและของสดอื่น ๆ ตามลิสต์รายการจนครบแล้วได้เดินดูของกินรอบ ๆ ตลาดที่ส่วนใหญ่มักเป็นอาหารและขนมท้องถิ่นที่น่าลองทั้งนั้น ในขณะที่กำลังเดินช่วงท้ายตลาดอยู่นั่นเอง ด้วยความไม่ทันระวังทำให้เธอบังเอิญเดินชนคุณยายท่านหนึ่งจนอีกฝ่ายล้ม ซึ่งผู้เล่าก็รีบขอโทษขอโพยคุณยายคนดังกล่าว และอีกฝ่ายก็บอกเพียงแค่ว่า “ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร”
ผู้เล่าที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีแผลหรือได้รับบาดเจ็บเพราะดูจากร่างกายของคุณยายที่น่าจะอายุเยอะและเดินเหินชินไม่ค่อยดีนัก จึงรีบประคองพาคุณยายไปนั่งบริเวณป้ายรถเมล์ที่ห่างจากตลาดออกมาเล็กน้อย แล้วรีบสำรวจร่างกายคุณยายก็พบว่ามีฟกช้ำเล็กน้อยและคุณยายเองก็บอกว่าตนไม่เจ็บส่วนใดเลย และยืนยันจะไม่ไปโรงพยาบาล ผู้เล่าจึงบอกให้ยายรอก่อน แล้ววิ่งไปซื้อยาทาที่ร้านขายยา หลังจากนั้นก็กลับมาคุกเข่านั่งทาให้คุณยายพร้อมกับได้แต่ขอโทษด้วยความรู้สึกผิด ตาก็มองรอยฟกช้ำที่ขาของคุณยาย
ทว่าแทนที่ครั้งนี้คุณยายจะเงียบหรือพูดว่าไม่เป็นไรอย่างที่พูดบ่อย ๆ ในช่วงแรก เธอกลับได้ยินเสียงแหบแห้งของคุณยายกล่าวข้างหูอย่างแผ่วเบาพร้อมลมหายใจที่เป่าลดคอเธอจนขนลุก
“…หอม …หอม” ผู้เล่าที่ได้ยินคำนี้ก็คิดว่าคุณยายคงจะหอมยาหม่อง เพราะคนวัยนี้ก็มักจะชอบกลิ่นสมุนไพรอยู่แล้ว เมื่อทาเสร็จเธอจึงได้ให้ยากับคุณยายเพื่อจะได้นำกลับไปทาที่บ้าน พร้อมถามว่า คุณยายมีญาติไหม ท่านจึงได้แต่บอกว่า ตนอาศัยอยู่คนเดียวในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกล ปกติก็ไม่ไหนมาไหนเองเพราะไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งเกี่ยวกับคุณยายเท่าไหร่ เธอจึงได้แต่สงสารคุณยายและได้ให้เงินคุณยายไปจำนวนหนึ่ง คุณยายที่เห็นอย่างนั้นจึงเอื้อมมือมารับ แต่ท่านไม่ได้รับเปล่า ทว่ากลับมาจับที่ข้อมือของเธอก่อนจะเริ่มลูบไล้ไปตามผิวแขนของเธอไปมาและพูดลอย ๆ ว่า
“แม่หนูเป็นคนใจดีไม่พอ ยังสวยและผิวพรรณดี หอมแบบนี้…ยายชอบที่สุดเลย”

ด้วยรู้สึกว่าคุณยายดูพูดจาแปลกมากกว่าเดิมและเอาแต่ลูบไล้แขนเธอไม่หยุด เธอจึงรีบเอาเงินใส่ในมือของคุณยายและขอตัวกลับบ้านทันทีโดยที่คุณยายก็ไม่หันไปมองคุณยายอีกเลย แต่ที่แน่นอนคือ เธอยังคงได้ยินเสียงพูดว่า “หอม…หอม…สวย…สวย” ลอยตามมาแม้จะอยู่ระยะไกลแล้วแต่เสียงกลับยังดังในระดับเดิมและรู้สึกเหมือนคุณยายยังจับจ้องเธออยู่จนรู้สึกเสียวสันหลังแปลก
ในเย็นวันนั้นเธอพยายามจะไม่คิดกับพฤติกรรมแปลก ๆ ของคุณยายคนดังกล่าวและช่วยญาติลงครัวทำกับข้าว ก่อนที่จะพากันมารับประทานมื้อเย็นจนเสร็จก็ขึ้นมาอาบน้ำแล้วคิดว่าจะนอนเลยเพราะจู่ ๆ รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ เพียงไม่นานที่หัวถึงหมอนเธอก็หลับอย่างรวดเร็ว และได้ฝันว่ายายคนเดิมมาพูดคำว่า “หอม…หอม…สวย…สวย” อยู่ซ้ำไปซ้ำมา
ในวันต่อมา ญาติ ๆ ที่เห็นว่าสายแล้วแต่ผู้เล่าก็ยังคงไม่ตื่นสักทีจึงได้เข้ามาดูแล้วพบว่าเธอมีอาการไข้สูง นอนซมไม่ได้สติจึงได้ผลัดกันมาคอยดูแลตลอดทั้งวัน แต่อาการก็ไม่ได้ดีขึ้นนักแม้จะเช็ดตัวและรับประทานยาแล้ว กระทั่งตอนดึกมาถึง จู่ ๆ เธอที่ฝันร้ายด้วยคำคำเดิมมาตลอดก็สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยรู้สึกว่า ร่างของตัวเองดูหนักอึ้งราวกับมีใครมาทับ พอลืมตาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่า คุณยายคนที่เธอเจอที่ตลาดตอนนี้ได้เข้ามาอยู่ในมุ้งเดียวกับเธอและกำลังคลานขึ้นมาบนตัวเธอพร้อมกับแลบลิ้นเลียตามแขนและขาของเธอราวกับมีอาหารอันโอชะอยู่ตรงหน้า น้ำหมากและน้ำลายพร้อมกลิ่นที่เหม็นเหมือนศพคนตายได้ลอยคละคลุ้งจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างมาก
คุณยายเหมือนจะรู้ว่าเธอตื่นมาแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยรอยยิ้มแสยะกว้างเกือบถึงหูและพูดว่า “กูมองมึงมานานตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว วันนี้กูต้องได้ร่างมึง กูชอบมึง…มาเป็นของกูซะดี ๆ” เพียงเท่านั้นคุณยายตรงหน้าก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยน้ำหมากออกกว้างก่อนที่ลิ้นขนาดยาวผิดมนุษย์จะแลบออกมาตรงเข้าหาเธอ ทำให้ผู้เล่าถึงกับกรีดร้องเสียงดังลั่นพร้อมสวดมนต์และนึกถึงหน้าพ่อแม่ของตัวเอง คิดว่าคงไม่รอดแน่ ๆ
“ออกไปจากลูกหลานกู! นี่ไม่ใช่ที่ของเอ็ง!” เสียงปริศนาของชายคนหนึ่งดังกังวานขึ้นมาท่ามกลางความหวาดกลัวของเธอ ก่อนที่แสงสีทองบางอย่างจะสาดเข้าหาคุณยายคนนั้น ทำให้อีกฝ่ายถึงกับผงะกรี๊ดและถอยห่างจากผู้เล่า ก่อนที่มุ้งจะถูกเปิดออก เป็นจังหวะให้ยายคนดังกล่าวรีบกระโจนออกจากหน้าต่างบ้านของญาติเธออย่างรวดเร็ว
เมื่อผู้เล่าลืมตาขึ้นมาจากความกลัวก็เห็นว่า ญาติทุกคนได้มายืนและเขย่าตัวเธอด้วยความเป็นห่วง บางคนก็รีบเอาสร้อยพระมาสวมให้เธอพร้อมบอกว่า “ดีนะที่มาทัน! รู้หรือเปล่าว่า เอ็งเกือบถูกปอบเอาวิญญาณไปแล้ว” นั่นทำให้เธอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น

วันต่อมา ญาติทุกคนก็พาผู้เล่าไปทำบุญอาบน้ำมนต์และทำพิธีกรรมเฉพาะของทางอีสานเพื่อไม่ให้ปอบหาตัวผู้เล่าเจอได้อีก ทุกอย่างจึงจบลงด้วยดี แต่ที่ทำให้ผู้เล่าขนลุกก็คือ คำพูดของพระที่กล่าวว่า เหตุที่ปอบตนนี้ตามเธอมา เพราะเธออยู่ในวัยดี ทุกอย่างดีตรงตามที่ฝ่ายน้ำตามหาทุกอย่าง ทำให้เขาอยากได้ร่างโยม และเขาก็ตามมาได้จากการสัมผัสทางร่างกายเธอนี่เอง หลังจากนั้นผู้เล่าก็ได้กลับบ้านและไม่ลืมที่จะระมัดระวังตัวมากขึ้นเวลามีใครที่ไม่ร็จักเข้ามาทักหรือมาอยู่ใกล้
ข้อคิดจากเรื่องเล่าสยอง “หญิงที่ยายเลือก”
เรื่องเล่าสยอง “หญิงที่ยายเลือก” ได้ให้ข้อคิดเตือนใจไม่ให้ใครก็ตามไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ไม่รู้จักกันง่าย ๆ ไม่ว่าคนคนนั้นจะดูมีท่าทางที่ดีอย่างไร แต่หากอีกฝ่ายคิดจะเข้าหาเราอย่างไร้เหตุผลก็ต้องหลีกเลี่ยงโดยรีบเดินหนีไปในที่ที่คนเยอะให้เร็วที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะจะเกี่ยวข้องกับผี แต่เขาอาจจะเป็นคนที่คิดปองร้ายด้วย ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days