พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดนครนายกที่ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็มีความสวยงามทั้งนั้นแล้วล่ะก็ทุกคนย่อมจะต้องพูดกันถึง “เขื่อนขุนด่านปราการชล” มาเป็นอย่างแรกแน่ ๆ เพราะเขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นเขื่อนสวยงามที่รองรับน้ำมาจากด้านบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ทางน้ำตกเหวนรก ก่อนเก็บกักและผันระบายลงสู่แม่น้ำนครนายก ตลอดเส้นทางในเขื่อนจึงเต็มไปด้วยวิวภูเขาปกคลุมป่าไม้สีเขียวที่อลังการทั้งบริเวณสันเขื่อนและบริเวณจุดชมวิวท้ายเขื่อนอย่างเขาช่องลมที่เต็มไปด้วยธารน้ำที่ไหลเซาะหินมากมายโดยโอบล้อมไปด้วยขุนเขามากมายสลับซับซ้อนแบบเป็นร่องเขาคล้ายกับอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์มาก ๆ ซึ่งด้วยเหตุนี้เองทำให้ไม่ว่านักท่องเที่ยวที่เป็นคู่รัก ครอบครัว หรือกลุ่มคนที่เป็นเพื่อนฝูงก็มักจะขี่รถบิ๊กไบค์มาเที่ยวกันที่นี่เสมอ แต่ใครบ้างจะรู้ว่าป่าเขาที่แสนร่มรื่นใกล้เขื่อนแห่งนี้ ห่างออกไปจากตัวเขื่อนเล็กน้อยกลับมีรีสอร์ตลี้ลับแห่งหนึ่งที่สยองขวัญมากซึ่งเรื่องที่เราจะนำมาเล่ากันวันนี้ก็เป็นประสบการณ์จากผู้เล่าและเพื่อนนักขี่บิ๊กไบค์ที่ได้ไปพัก รีสอร์ทลี้ลับ ในป่านครนายกและเกือบเอาชีวิตไม่รอด!
เรื่องเล่าผี รีสอร์ทลี้ลับ ในป่านครนายก

เรื่องเล่าผี “รีสอร์ทลี้ลับในป่านครนายก” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้เล่าท่านหนึ่งที่เมื่อไม่นานมานี้ตัวเองกับเพื่อน ๆ ได้ไปออกทริปขี่บิ๊กไบค์เดินทางท่องเที่ยวจุดหมายหลักช่วงฤดูหนาวโดยปักหมุดที่ “เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก” แบบ 2 วัน 1 คืน เพราะต่างคนต่างก็มีภาระของตัวเองเยอะ โดยมีการจองที่พักรีสอร์ตจากในเว็บไซต์ที่พักออนไลน์ไว้ก่อนแล้ว ตัวที่พักอยู่ห่างจากเขื่อนขุนด่านปราการชลออกมาเล็กน้อย วิวสวยเพราะอยู่ท่ามกลางการรายล้อมของป่าไม้ในหุบเขา บ้านพักมีอยู่กันเป็นหลังใหญ่ซึ่งสามารถพักหลังเดียวได้ครบจำนวนคนที่มาด้วยกันแบบสบาย ๆ แถมราคาก็ถูกจึงไม่ลังเลที่จะเลือกรีสอร์ตแห่งนี้
วันนั้นก็ค่อนข้างเดินทางไปถึงที่พักรีสอร์ตเร็วหน่อยในช่วงบ่าย ๆ ทุกคนวางแพลนกันไว้ว่า วันนี้จะพักผ่อนกันก่อนแล้วพรุ่งนี้ก็ค่อยออกเดินทางไปท่องเที่ยวที่เขื่อน มาจอดรถเพียงแป๊ปเดียวก็มีคุณลุงคนหนึ่งออกมาต้อนรับพวกเขาพร้อมกับลูกสาวพร้อมแนะนำรายละเอียดการมาพักและพาไปเปิดห้องช่วยยกของบริการอย่างดี ทำให้ทุกคนต่างก็พึงพอใจ หากจะเสียอย่างเดียวก็คงเป็นสภาพรีสอร์ตที่ดูเก่ากว่าในภาพและทำเลก็เข้ามาในเขาค่อนข้างลึก ฟีลแบบตั้งโดดเดี่ยวกลางป่าเลยทีเดียว แถมบ้านพักหลังอื่น ๆ ก็ไม่เห็นจะมีรถมาจอดสักคัน อาจด้วยเพราะช่วงดังกล่าวเป็นช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ แถมยังเพิ่งผ่านช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่มาด้วยจึงคิดว่า ไม่น่าแปลกอะไรนักหากจะมีแค่พวกเขามาพัก
ตอนนั้นทุกคนก็เอาข้าวของเก็บกันแล้วผู้เล่ากับเพื่อนบางส่วนก็ได้อาสาขี่รถออกมาซื้อของที่ร้านมินิมาร์ทที่ออกมาจากแยกถนนที่เข้าไปรีสอร์ตเพียงไม่กี่กิโลก็ถึงแล้ว พวกเขาต่างก็ซื้อขนมและอาหารง่าย ๆ ไปตุนกัน เพราะปกติก็มาเที่ยวชิลล์ ๆ เน้นเฮฮาปาร์ตี้กันอยู่แล้ว จังหวะที่เอาสินค้าทุกอย่างไปวางที่เคาน์เตอร์ พนักงานคนหนึ่งที่ดูจะอัธยาศัยดีก็ได้เข้ามาทักทายพวกเขาเมื่อเห็นว่าใส่ชุดบิ๊กไบค์มาเที่ยว
“พวกพี่มาเที่ยวหรือครับ พักที่ไหนกันล่ะเนี่ย?” ผู้เล่าจึงได้ตอบไปแบบไม่คิดอะไรมากว่า พวกเขามาพักรีสอร์ตชื่อ XXX แต่ทันทีที่พูดออกไป พนักงานมินิมาร์ททุกคนก็ถึงกับมีหน้าสีอึ้ง ๆ และมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ด้วยความสงสัย ผู้เล่าจึงได้ถามอีกฝ่ายกลับว่า มีอะไรหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายก็บอกว่า ไม่มีอะไร ยังไงก็เที่ยวให้สนุกนะครับ
หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับเข้ามาในรีสอร์ตแล้วพากันจัดเตรียมอาหารที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้านพักซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว พวกเพื่อน ๆ ก็พากันออกมานั่งกินนั่งดื่มเบียร์กันพร้อมคุยเรื่องสัพเพเหระตามประสาจนเวลาล่วงมาถึงช่วงหัวค่ำ สภาพแวดล้อมป่าไม้และสวนในรีสอร์ตต่างก็มืดไปหมด มีเพียงไฟหน้าบ้านพักทุกหลังและไฟจากศาลพระภูมิรีสอร์ตที่อยู่ไม่ห่างกันเท่านั้นที่เปิดจึงทำให้แอบหลอนหน่อย ๆ ยังไม่ทันได้คิดหลอนจบ จู่ ๆ ลุงเจ้าของรีสอร์ตก็เดินมาจากความมืดโดยไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้าทำให้หลายคนถึงกับร้องเฮ้ย! ซึ่งลุงก็ได้แต่หัวเราะกับท่าทีของแต่ละคนพร้อมบอกว่า
“ทำตัวตามสบายนะ แต่อย่าอยู่ดึกล่ะเพราะมันจะอันตราย เดี๋ยวลุงกับลูกก็จะกลับบ้านแล้วเดี๋ยวจะเข้ามารีสอร์ตอีกครั้งในตอนเช้าพรุ่งนี้ ช่วงกลางคืนหากได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ ก็ห้ามสนใจหรือทักล่ะ”
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่ลุงบอกก็ทำให้ถึงกับงงและมองหน้ากันประมาณว่า เฮ้ย! ลุงจะทิ้งพวกผมที่เป็นแขกไว้ในรีสอร์ตยามกลางคืนแบบนี้เนี่ยนะ แล้วถ้ามีปัญหาอะไรจะทำยังไง แต่ยังไม่ทันจะได้ท้วงติง ลุงก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วและกว่าจะรู้ตัว อีกฝ่ายก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปเรียบร้อยแล้ว

เพื่อนของผู้เล่าก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก คงไม่น่ามีอะไร ก่อนที่พวกเขาจะพากันมากินดื่มกันต่อจนเวลาล่วงเลยเข้าดึกหน่อย เพื่อนคนอื่นก็เริ่มเข้าบ้านพักกันเมื่อต่างคนต่างเมา มีเพียงผู้เล่าที่ไม่ค่อยดื่มนัก ก็นั่งเล่นไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกได้ว่าเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเดินออกไปรับลมแถวหน้ารีสอร์ตนานแล้วจึงเกิดกังวลและตัดสินใจเดินออกไปดู จนมาถึงบริเวณหน้าศาลพระภูมิก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายกำลังฉี่รดศาลพระภูมิ เขาจึงรีบเข้าไปห้ามพร้อมให้ขอโทษ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะเป็นอะไรขึ้นมา อีกฝ่ายที่กำลังเมาได้ที่และไม่เชื่อเรื่องลี้ลับจึงบอกออกไปว่า
“งมงาย เรื่องผีสางเทวดาไม่มีหรอก ถ้ามีก็ออกมาให้เห็นสิ ยิ่งเป็นผีผู้หญิงสวย ๆ ล่ะก็กูชอบเลย” ผู้เล่าที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งและรีบพาเพื่อนกลับไปเข้าห้องพักเพราะรู้สึกว่ามันเริ่มไม่ดีเสียแล้ว
ในคืนนั้นทุกคนต่างก็พากันเข้านอนพร้อมกันเพื่อที่จะเก็บแรงไว้ตื่นเช้าไปเขื่อนในวันพรุ่งนี้ แต่พอปิดไฟได้ไม่นาน จู่ ๆ เสียงร้องของเพื่อนคนหนึ่งก็ดังขึ้น เมื่อผู้เล่าลุกขึ้นมาก็พบว่าเป็นเพื่อนคนที่ฉี่รดศาลพระภูมิที่กำลังร้องพร้อมกอดไหว้และพูดว่า ขอโทษครับ ๆ ไม่ทำแล้วครับ กลัวแล้ว ๆ ทุกคนจึงเข้าไปถามว่าเป็นอะไร อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“ไม่อยู่ที่นี่ได้ไหม รีสอร์ตนี้มันมีผี!” แต่ทุกคนกลับไม่เชื่อ คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่หายสร่างเมาแหง โดยเฉพาะรุ่นพี่ผู้นำทีมบิ๊กไบค์ที่เขาเป็นคนยุคใหม่จึงไม่เชื่อเรื่องนี้ จึงบอกว่า งั้นให้อีกฝ่ายไปนอนเตียงเขา แล้วเดี๋ยวเขาจะนอนเตียงของเพื่อนคนนี้แทน
หลังจากสับเปลี่ยนเตียงกันแล้วก็เข้าสู่โหมดที่ทุกคนต่างก็ปิดไฟนอนหลับเหมือนเดิม ทว่าเพียงผ่านไปไม่ถึง 10 นาที จู่ ๆ ร่างของผู้เล่าก็ถูกเขย่า ผู้เล่าที่ตกใจจึงหันไปมองก็พบว่ารุ่นพี่คนเดิมที่คิดว่าหลับไปแล้วตอนนี้มาหยุดอยู่ที่เตียงเขาพร้อมกระซิบด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ ว่า ขอนอนด้วย แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเล่าให้ฟัง แม้เขาจะงงแต่ก็ยอมแบ่งอีกครึ่งของเตียงให้รุ่นพี่นอนด้วย ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเป็นผู้เล่าเสียเองที่ได้ยินเสียงเล็บขูดกระจกบริเวณหัวนอนของเขาเป็นทางยาวไปจนถึงอีกมุมของห้อง เหมือนกับมีใครสักคนที่อยู่ข้างนอก เขาจึงคิดว่าไม่น่าปกติแล้วกับที่นี่ แต่ก็พยายามข่มตาให้หลับ
ทว่ายังไม่ทันไร ในห้องก็มีเสียงเหมือนไม้สักอย่างเคาะที่พื้นเป็นจังหวะมาตามทางเดิน ก่อนที่จะหยุดอยู่ที่จุดหนึ่งซึ่งน่าจะไม่ห่างจากเตียงของผู้เล่านัก ผู้เล่าจึงทำใจดีสู้เสือค่อย ๆ แง้มผ้าห่มออกจนได้เห็นภาพสุดหลอนของชายหญิงชราคู่หนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดไทยโบราณกำลังใช้ไม้ตะพดชี้ไปยังเตียงที่เพื่อนคนเดิมนอนอยู่ เขารู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนจึงคลุมโปงและหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนจึงได้มารวมตัวกันแล้วบอกความจริงว่าไม่มีใครนอนหลับได้เลยเพราะเหมือนมีเสียงขูดกระจกและมีคนอยู่ในห้องตลอดเวลาเหมือนกับผู้เล่าที่ได้ยิน ส่วนรุ่นพี่กับรุ่นน้องก็เล่าในสิ่งที่ตัวเองเจอว่า เมื่อคืนนี้พวกเขาเห็นผู้หญิงผมยาวสีดำขลับสวมชุดขาวหม่น ๆ ที่ใบหน้าซีดคร่อมทับร่างของทั้งคู่อยู่ ช่วงที่เธอยิ้มปากจะฉีกถึงหู และเหมือนต้องการพูดอะไรสักอย่าง แต่ด้วยความที่ปากฉีกทำให้พวกเขาฟังไม่ออก ดวงตาก็เหลือกไปมา หลับไม่ได้ ต้องท่องบทสวดหลายบทกว่าจะหลุดจากการอำมาได้ ผู้เล่าและทุกคนจึงได้ทำการจุดธูปที่หน้าศาลพระภูมิเพื่อขอขมาในสิ่งที่พวกเขาไม่ว่าใครก็ตามอาจลบหลู่ไป ก่อนที่จะพากันรีบเก็บข้าวของออกจากรีสอร์ตอย่างรวดเร็ว ในจังหวะนั้นที่รถมอเตอร์ไซค์ของผู้เล่าออกมาเป็นคันสุดท้าย เขาก็หันกลับไปมองบริเวณศาลพระภูมิก็ถึงกับต้องตกใจ เพราะธูปที่เพิ่งปักขอขมาไปนั้นต่างพากันดับไปหมด ทั้งที่ไม่มีลมและไฟก็ยังเยอะอยู่เลยเมื่อกี้ แต่ในเมื่อพวกเขาขอขมาไปแล้วก็ไม่น่าจะเป็นไร
ในวันนั้นทุกคนจึงพากันไปเที่ยวที่เขื่อนขุนด่านปราการชลและกะว่าช่วงบ่ายจะตีรถกลับกรุงเทพยาว ๆ ไปเลย เพื่อจะได้ไม่ถึงดึกมาก แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาพร้อมฟ้าผ่าที่ดังสนั่นทำให้ทุกคนต้องเข้าไปหลบในกระท่อมใหญ่หลังหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่ซึ่งติดกับถนนไม่ไกลจากสันเขื่อน ทุกคนต่างก็คิดว่าฝนตกหนักขนาดนี้คงอันตรายหากขับมอเตอร์ไซค์จึงได้โทรติดต่อทางบ้านกัน ซึ่งพ่อของพวกเขาคนหนึ่งก็อาสาจะขับมารับแทน ในระหว่างนั้นที่ฝนตกหนักจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงค่ำ จู่ ๆ หลังคามุงแฝกของกระท่อมก็มีเสียงตึง ๆ และมีแรงยวบยาบเป็นสเต็ปเหมือนมีคนเดินอยู่ข้างบนพร้อมเสียงผู้หญิงหัวเราะที่ดังลั่นทำให้ผู้เล่าและทุกคนถึงกับรีบตรงมากองรวมกันที่มุมหนึ่งของกระท่อมโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่เสียงจะเปลี่ยนมาดังรอบที่ผนังกระท่อมแทนอย่างรวดเร็วราวกับอีกฝ่ายคลานอย่างนั้น!

ทุกคนถึงกับทำอะไรไม่ถูกได้แต่พากันสวดมนต์ก่อนที่เพื่อนคนหนึ่งจะร้องขึ้นมาและชี้ไปยังหน้าต่างของกระท่อม คนที่เหลือจึงหันไปมองแล้วได้เห็นว่า บริเวณกรอบหน้าต่างมีหัวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมยาวยิ้มปากฉีกถึงหูกำลังห้อยลงมาจ้องทุกคนตาเขม็งพร้อมกล่าวว่า “พวกมึงไม่รอดออกไปจากที่นี่หรอก!” ก่อนที่หัวของผู้หญิงคนนั้นจะตกลงมาที่พื้นด้านล่างโดยไม่ทันตั้งตัวจนมีเสียงดัง ทำให้ทุกคนถึงกับกรี๊ดสาวออกมาทันทีพลางอธิษฐานกันว่า ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยทุกคนแคล้วคลาดจากสิ่งไม่ดีนี้ด้วยเถด ซึ่งจังหวะนั้นทุกคนจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงบีบแตรดังขึ้นเมื่อลองมองออกไปก็เห็นว่า ตอนนี้รถของพ่อเพื่อนได้มาจอดพอดี ต่างคนจึงไม่รอช้ารีบเสี่ยงตายวิ่งออกจากกระท่อมในทันทีแล้วไปที่รถก่อนจะพากันรีบขนมอเตอร์ไซค์ขึ้นกระบะหลังแล้วกระโดดขึ้นรถหน้าหลังพร้อมกันก่อนจะรีบบอกให้พ่อเพื่อนออกรถเร็ว ๆ เพราะสายตาของทุกคนเห็นว่า ผีผู้หญิงที่อยู่ในกระท่อมตนนั้นกำลังวิ่งมายังรถเพื่อติดตามพวกเขา! เมื่อรถออก ทุกคนจึงรีบให้พ่อเพื่อนเร่งความเร็วสุด ๆ จนสามารถพ้นจากรัศมีของเขื่อนที่ผีผู้หญิงคนนั้นได้แต่ยืนและกรีดร้องเสียงดังด้วยความโกรธก่อนจะหายไป
ผู้เล่าจึงได้ให้พ่อของเพื่อนแวะที่วัดสักแห่งก่อนเพราะคิดว่าหากให้เดินทางต่อก็คงจะอันตราย อีกฝ่ายคงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่แม้จะคิดว่าพ้นแล้ว ซึ่งออกมาได้สักพักพวกเขาก็ได้เจอวัดริมทางแห่งหนึ่งจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระที่ออกมาเปิดประตูรับอย่างงง ๆ และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ก่อนที่ท่านจะทำพิธีและอาบน้ำมนต์ รวมถึงอุทิศบุญให้ พร้อมบอกว่า ปลอดภัยแล้วนะ พวกเขาจึงได้ออกเดินทางกันต่อจนถึงกรุงเทพก่อนจะได้รู้อีกเรื่องจากปากพ่อของพวกเขาว่า ตลอดทางตั้งแต่เขื่อนมาจนถึงวัด ท่านเห็นตากับยายคู่หนึ่งยืนมองรถเรากันตลอดทุกโค้งเลย นี่ดีนะที่รอดมาได้ ซึ่งมันคงจะเป็นบทเรียนสำหรับพวกเขาไปตลอดชีวิตเลยนับจากนี้!
ข้อคิดเตือนใจจาก “รีสอร์ทลี้ลับในป่านครนายก”
เรื่องเล่าผี “รีสอร์ทลี้ลับในป่านครนายก” มีข้อคิดว่า ในการไปพักที่ใดหรือไปเที่ยวสถานที่ใดก็ตามแต่ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ ภูเขา ทะเล หรือแม้แต่ตัวเมือง คุณก็ต้องให้การเคารพสถานที่และไม่ลบหลู่สิ่งลี้ลับเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นพวกเขาซึ่งอาจเกิดอันตรายแบบที่คุณไม่คาดคิดได้ ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days