พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ หากจะกล่าวถึงประสบการณ์ผีต่างแดนที่คนไทยเรามักพบเจอแล้วนำกลับมาเล่ากันเยอะเป็นอันดับต้น ๆ แล้วล่ะก็นอกจากการได้ไปเที่ยวสถานที่ผีดุของประเทศนั้น ๆ ไปนอนค้างคืนในที่พักโรงแรมย่านนั้น ๆ แล้ว เห็นวัฒนธรรมประเพณีสุดหลอนบางอย่างแล้ว หนึ่งในนั้นก็คงไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับ รับน้องหลอน ประสบการณ์เจอผีของนักศึกษาไทยที่ไปเรียนต่อในต่างประเทศซึ่งแน่นอนว่าการไปอยู่ในสถาบันใดก็ตามย่อมจะมีหอพักนักศึกษาให้แก่เด็กใหม่ทุกคนเพื่อความสะดวกและการฝึกวินัยอยู่แล้ว แต่ที่มากกว่านั้นคือ หอที่สร้างมานานสำหรับนักศึกษามักจะผ่านประวัติต่าง ๆ มาเยอะแยะ และนี่คือหนึ่งในประสบการณ์ผีหลอน ๆ ที่ผู้เล่าท่านหนึ่งในไปพบเจอมาตอนไปเรียนต่อที่ประเทศจีน!
เรื่องเล่าผี “รับน้องหลอน ต่างแดน”

เรื่องเล่าผี “รับน้องหลอน ต่างแดน” เป็นเรื่องราวของผู้เล่าทางบ้านที่ได้เดินทางไปเรียนป.โท ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของประเทศจีน ด้วยความตื่นเต้น และอยากออกไปสัมผัสกับประสบการณ์การใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ต่างประเทศ ผู้เล่าจึงตัดสินใจจะบินไปตระเตรียมเอกสาร และข้าวของเครื่องใช้ล่วงหน้าก่อนวันมอบตัวจริง 9 วัน เพื่อไปดูสถานที่ ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมก่อนเริ่มเรียน และที่สำคัญคืออยากไปเที่ยวด้วย
เมื่อผู้เล่าเดินทางถึงสนามบินที่ประเทศจีนปุ๊ป ก็ออกเดินทางต่อไปยังมหาวิทยาลัยโดยรถไฟฟ้าทันที แต่พอไปถึงที่นั่นก็ปาเข้าไป 4 โมงเย็นแล้ว บรรยากาศเงียบสงัดเพราะเป็นช่วงก่อนเปิดภาคเรียน ยังมีนักศึกษากลับเข้ามาไม่มากนัก จากนั้นผู้เล่าจึงรีบนำเอกสารแจ้งมอบตัวเข้าหอพัก แต่! เมื่อเจอกับเจ้าหน้าที่จุดลงทะเบียนเข้าหอพัก เขาแจ้งผู้เล่าว่า ‘มามอบตัวเร็วเกินไป ค่าหอที่ทุนจ่ายให้นั้นไม่ครอบคลุม..’ พอได้ยินแบบนั้นผู้เล่าถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว เมื่อทางเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้เล่าหน้าเสียเขาเลยบอกว่า
‘สามารถไปเช่าโรงแรมใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยพักไปก่อน หรือจะพักหอในมหาวิทยาลัยก็ได้ แต่ต้องจ่ายค่าพักเป็นรายวัน’ ผู้เล่าได้ยินแบบนั้นแล้วใจชื้นขึ้นมาหน่อย ผู้เล่าตัดสินใจพักหอในมหาวิทยาลัย เพื่อต้องการทำความรู้จักกับสถานที่ที่ผู้เล่าจะอยู่จริงๆ มากกว่า พอตกลงกันจ่ายตังเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จึงพาผู้เล่าเดินไปยังหอพัก โดยหอพักนั้นอยู่ทางทิศใต้จากประตูทางเข้ามหาวิทยาลัย เดินเข้าไปค่อนข้างลึกเลยทีเดียว
บรรยากาศในตอนนั้นเริ่มจะโพล้เพล้ เมื่อไปถึงด้านหน้าหอพัก ดูสภาพแล้วไม่เก่านัก อายุการใช้งานน่าจะไม่เกิน 10 ปี หรือถ้าเกินก็คงได้รับการตกแต่ง และทาสีใหม่อยู่ตลอด เพราะยังดูสภาพดีอยู่ ในตอนนั้นผู้เล่าไม่ได้สนใจดูว่าหอพักมีกี่ชั้น แต่ห้องที่ผู้เล่าได้พักนั้นคือชั้น 3 ห้อง 303 เจ้าหน้าที่แจ้งผู้เล่าเพิ่มเติมว่า ‘หอพักนี้ไม่ใช่หอพักของนักศึกษานานาชาติที่ผู้เล่าจะได้พักถาวรนะ แต่เป็นหอพักของนักศึกษาจีนระดับปริญญาตรี พักหอนี้ไปก่อน และเมื่อถึงเวลาใกล้วันมอบตัว ถึงจะย้ายเข้าไปหอพักนักศึกษานานาชาติได้’ (ตอนนั้นผู้เล่าก็งงเหมือนกันว่าทำไมถึงให้มาพักหอนี้ แต่ก็ไม่กล้าถามมาก) จากนั้นผู้เล่าก็ขนของขึ้นห้องพักของผู้เล่า ภายในหอนั้นเงียบมากกกก ผู้เล่าเห็นนักศึกษาเดินในหอแค่ 2 คนแล้วก็มีอาอี๋ (คุณป้าที่ดูแลหอ) รวมแล้วผู้เล่าเจอคนในหอนี้แค่ 3 คนเอง ภายในห้องพักของผู้เล่านั้นจะมีเตียงทั้งหมด 4 เตียง เป็นเตียงแบบ 2 ชั้น ชั้นบนเป็นเตียงนอนส่วนด้านล่างจะมีตู้ และโต๊ะอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผู้เล่ามาก เพราะที่ไทยจะไม่ค่อยได้เห็นเตียงแบบนี้
คืนแรก หลังจากจัดเก็บของเสร็จเรียบร้อย ผู้เล่าก็ออกไปหาข้าวกิน แล้วกลับเข้ามาที่หออีกทีช่วง 2 ทุ่ม ในใจก็ภาวนาอยากให้มีนักศึกษาคนอื่นมามอบตัวล่วงหน้า แล้วเข้ามาพักเป็นเพื่อนจัง แต่พอเปิดห้องมาก็ว่างเปล่าเหมือนเดิม จากนั้นผู้เล่าก็อาบน้ำทำธุระส่วนตัวของผู้เล่าเสร็จ ก็ขึ้นไปนอนดูหนังในมือถือบนเตียงที่ถูกปูผ้าปูที่นอนไว้เพียงแค่เตียงเดียว จนประมาณเกือบเที่ยงคืน ผู้เล่าผล็อยหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่โมง ตอนนั้นผู้เล่าได้ยินเสียงเหมือนคนกระซิบอะไรสักอย่าง ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแผ่วเบาอยู่ไกลๆ จับจุดไม่ได้ว่าส่วนไหนของห้อง แต่พอจะฟังออกว่า ‘หนี่ จือ เต้า มะ หว่อ ชือ เฉ’ ประมาณว่า ‘นี่ แกรู้ไหมฉันเป็นใคร?’ ตอนนั้นที่ได้ยินผู้เล่ารู้สึกตัวนะ ผู้เล่าไม่ได้ฝัน ไม่ได้เหมือนกำลังถูกอำ กระดิกตัวได้ แต่แค่ลืมตาไม่ขึ้น พอได้ยินเขาถามแบบนั้น ในใจผู้เล่าก็คิดว่า หรือจะมีคนเข้ามาพักใหม่ร่วมกับผู้เล่า? แล้วเขาบ้าป่าววะ มาถามอะไรดึกดื่น ผู้เล่าก็เลยตอบเขาไปด้วยความงัวเงียปนหงุดหงิดว่า ‘หนี่ เวิน หว่อ หว่อ เวิ่น เฉ’ (เธอมาถามฉัน แล้วฉันจะรู้ไหมให้ฉันไปถามใครล่ะ?) แล้วปลายทางก็เงียบไม่ตอบกลับมา ผู้เล่าก็หลับต่อไปจนเช้า พอผู้เล่าตื่นมาผู้เล่าก็กวาดตาดูเตียงอื่นว่ามีคนมานอนไหม แต่..เตียงมันว่างเปล่า ไม่มีผ้าปูที่นอนหรือแม้กระทั่งหมอนเลย ผู้เล่าได้แต่คิดวนไปวนมาซ้ำๆ ว่าถ้างั้นเมื่อคืนผู้เล่าคุยกับใครล่ะ? พอหาคำตอบไม่ได้ ผู้เล่าก็ปลอบใจตัวเองว่าจิตผู้เล่าปรุงแต่งไปเองแน่ๆ คงเหนื่อยจากการเดินทางผู้เล่าเลยคิดไปเอง..
คืนที่ 2 เกิดเหตุการณ์เช่นเดิม ผู้เล่านอนเวลาเดิม พอหลับไปสักพักรู้ตัวตื่น ก็ได้ยินเสียงเดิม ถามคำถามเดิมกับผู้เล่า ‘หนี่ จือ เต้า มะ หว่อ ชือ เฉ’ (นี่ แกรู้ไหมฉันเป็นใคร?) เสียงดังใกล้กว่าเมื่อคืน แต่คืนนี้ผู้เล่าไม่ตอบค่ะ ตอนนั้นผู้เล่าเริ่มกลัวแล้ว รู้สึกตัวว่าตื่นเต็มที่ ผู้เล่าพยายามที่จะลืมตาเพื่อมองหาต้นเสียงว่าอยู่จุดไหนในห้อง แต่มันลืมตาไม่ขึ้นเลย เขาถามซ้ำเป็นรอบที่ 2 ด้วยน้ำเสียงแข็ง ผู้เล่าจึงตอบเขาไป ‘หว่อ ปู้ จือ เต้า’ ( ฉันไม่รู้ ) แล้วเขาก็เงียบหายไปเหมือนเดิม รุ่งเช้ามา ผู้เล่าก็มาคิดทบทวนว่าสิ่งที่ผู้เล่าเจอคืออะไรกันแน่นะ จิตปรุงแต่ง ผี หรือคนจริงๆ ผู้เล่าต้องการแน่ใจกับสิ่งที่ผู้เล่าเจอ จึงคิดว่าคืนนี้ผู้เล่าจะไม่หลับ หากยังเจอแบบเดิมผู้เล่าจะเปิดไฟฉายส่องดูให้รู้กันไปเลยว่าคืออะไร?
คืนที่ 3 เหตุการณ์เกิดขึ้นแบบเดิม เขาถามคำถามเดิม เสียงเหมือนอยู่ใกล้มากกว่าเดิม แต่! คืนนี้ผู้เล่าไม่หลับค่ะ ผู้เล่าแค่หลับตาไว้เฉยๆ แต่สติตื่นตลอด ผู้เล่าพยามลืมตาเช่นเดิมแต่ลืมตาไม่ขึ้น จากนั้นผู้เล่าก็ควานหาโทรศัพท์เพื่อเปิดไฟฉาย พอเปิดไฟฉายได้ผู้เล่าก็พยามใช้นิ้วเปิดเปลือกตาดู แล้วทุกอย่างเงียบลง ไม่มีเสียง และทุกอย่างในห้องว่างเปล่าไม่มีใครเลย นั่นทำให้ผู้เล่าแน่ใจแล้วว่า สิ่งที่เจอไม่ใช่คนแน่ๆ ตอนนั้นผู้เล่าไม่รู้จักใคร ผู้เล่าไม่สามารถไปพึ่งพาใครได้เลย เงินค่าห้องก็จ่ายไปแล้ว 7 วัน ครั้นจะให้ไปหาที่พักใหม่ก็เกินงบที่ตั้งไว้ ผู้เล่าทำได้เพียงกัดฟันทนอยู่ให้ครบ 7 วัน ในคืนที่ 4-5-6 เขาก็มาถามคำถามเดิมกับผู้เล่าทุกคืน แต่สิ่งที่ต่างไปคือ เหมือนเขาค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ผู้เล่าเรื่อยๆ และน้ำเสียงเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เล่าลองไม่ตอบเขาดู แต่เขาจะถามซ้ำๆ จนผู้เล่าต้องตอบ แล้วจากนั้นเขาก็จะเงียบหายไปเอง

คืนสุดท้าย เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นเหมือนฉายหนังเรื่องเดิมซ้ำๆ เขาถามผู้เล่าด้วยคำถามเดิม แต่คืนนี้เขาเรียกชื่อใครก็ไม่รู้ค่ะ (เจียเหวินคือชื่อจีนของผู้เล่า) แต่เขาพูดว่า ‘อาเชวียน หนี่ จือ เต้า มะ หว่อ ชือ เฉ’ คืนนี้ผู้เล่าตอบเขาด้วยน้ำเสียงตะคอกปนโมโหว่า ‘หว่อ เจิ่น เมอะ เริ้น ชือ นี่ เตอะ’ ( โอ้ยกุจะไปรู้จักเมิงได้ไงล่ะ! ) ในใจผู้เล่าก็คิดต่อว่าเขา นี่กะจะหลอกกันแม่งทุกคืนเลยเหรอ?
จากนั้นเขาก็หัวผู้เล่าะ หึหึหึ.. คราวนี้ผู้เล่าได้ยินชัด และจับจุดได้ว่าเขาอยู่ใกล้มาก คงจะเป็นบริเวณโต๊ะหนังสือใต้เตียงของผู้เล่านี่ล่ะ เพราะผู้เล่าได้ยินเสียงเหมือนเก้าอี้มันดัง เอี๊ยดอ๊าด เหมือนเวลามีคนนั่งหรือกดตรงที่พนักพิงหลัง ผู้เล่าควานหามือถือเปิดไฟฉายแล้วเขวี้ยงลงไปเลยค่ะ เสียงมือถือหล่นกระแทกพื้นดัง แก๊ก! แล้วแสงสว่างจากมือถือก็สาดขึ้น ตอนนั้นความกลัวบวกโมโหที่ไม่ได้นอน ทำให้ผู้เล่ากล้ามาก ผู้เล่าอยากเห็นว่าเขาหน้าตาเป็นยังไงกันแน่ ไอ้ที่มาหลอกผู้เล่าทุกคืนๆ แล้วผู้เล่าก็ผงกหัวลืมตาดูรอบนี้ผู้เล่าลืมตาได้ค่ะ ผู้เล่าก้มลงมองที่โต๊ะหนังสือ แล้วสิ่งที่ผู้เล่าเห็นคือ ผู้หญิงผมประบ่าปรกหน้า เห็นหน้าไม่ชัด เธอผอมบางตัวเล็กมาก ใส่เสื้อเชิ้ตไม่รู้สีเขียวอ่อนหรือสีเหลือง ดูมอมแมมมอซอ เห็นเขาเป็นตัวเป็นตนเหมือนคนปกติเลยค่ะ ชัดเจนมาก พอเห็นแบบนั้นผู้เล่าสติหลุดเลย หลับตาปี๋ กรี๊ดออกมาอย่างบ้าคลั่ง กรี๊ดดังลั่นหอจนอาอี๋คนดูแลหอได้ยิน ซึ่งแกนอนพักอยู่ชั้น 1 วิ่งมาเคาะประตู พอผู้เล่าลืมตามาอีกทีเขาก็หายไป ผู้เล่ารีบคลานลงจากเตียงชั้น 2 วิ่งไปเปิดประตูให้อาอี๋คนดูแลหอ ตัวผู้เล่าในตอนนั้นคือเหงื่อท่วม และสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาก็ถามไถ่ว่าผู้เล่าเป็นอะไร? ตอนนั้นผู้เล่าไม่กล้าพูดออกไปกลัวอาอี๋ไม่เชื่อ จะหาว่าผู้เล่าบ้าเอาได้ ผู้เล่าจึงบอกเขาไปว่าผู้เล่าฝันร้าย.. หลังจากคืนนั้นผู้เล่าก็ได้ย้ายเข้าไปพักที่หอนักศึกษานานาชาติ ซึ่งอยู่อีกฝั่งนึงทางทิศเหนือของมหาวิทยาลัย ไกลจากหอเดิมพอสมควร หลังจากนั้นมาผู้เล่าไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้หอเด็กจีนอีกเลย แต่เรื่องราวมันยังไม่จบเพียงเท่านี้ค่ะ
เวลาผ่านไปเกือบปี ผู้เล่าไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย จนวันหนึ่งรูมเมทชาวเวียดนามของผู้เล่า ผู้คลั่งไคล้เรื่องราวหลอนๆ ก็มาถามผู้เล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของผีไทย ผู้เล่าเลยหลุดปากพูดไปว่า ผู้เล่าเคยเจอดีในมหาวิทยาลัยนี้ด้วยนะ จากนั้นรูมเมทก็คาดคั้นเอาความจริงจากผู้เล่า รูมเมทคนนี้ก็แสนจะอยากรู้เหลือเกิน ว่าผีสาวตนนั้นเป็นใคร? จนนำไปสู่การสืบหาต้นตอของผีสาวตนนั้น จนเธอไปสืบเจอเหตุการณ์นักศึกษาหญิงฆ่าตัวตายภายในมหาวิทยาลัยเมื่อ 8 ปีก่อน เหตุการณ์นั้นโด่งดังมาก เป็นข่าวดังในมณฑลเลยทีเดียว นักศึกษา และบุคลากรรุ่นเก่าจะรู้กันหมด แต่ปีการศึกษาที่ผู้เล่าเข้าไปเรียนนั้น คนรุ่นเก่าๆ ทยอยออกไปกันหมดแล้ว ถึงยังมีคนเก่าคนแก่อยู่ก็จะเป็นคณะอาจารย์ ซึ่งก็ไม่มีใครอยากเล่าให้ฟังหรอก มันค่อนข้างเป็นเรื่องในแง่ลบของมหาวิทยาลัย จะมีก็แต่ผู้ดูแลสระว่ายของมหาวิทยาลัยที่ยอมเล่าให้ฟัง
โดย ซูซู ผู้ดูแลสระไหว้น้ำเล่าให้รูมเมทของผู้เล่าฟังว่า นักศึกษาคนนี้เป็นนักศึกษาปี 1 ที่กำลังจะขึ้น ปี 2 เป็นเด็กจีน เกิดและโตในมณฑลนี้นี่ล่ะ เป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร เรียนเก่งพอตัวเลย เอ็นติดมหาวิทยาลัยท็อปของมณฑลนะ แต่เลือกที่จะมาเรียนมหาวิทยาลัยอันดับรอง โดยครอบครัวทางบ้านก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไม จนเปิดภาคเรียนเทอมแรก เธอก็เข้ามาเรียนตามปกติ เก็บตัวไม่สนิทกับใครแม้กระทั่งรูมเมทอีก 3 คนที่พักร่วมกัน เธอก็ไม่ค่อยพูดคุยด้วย ต่อมาเธอเลือกจบชีวิตด้วยการกระโดดหอพักนักศึกษาจากดาดฟ้าลงมาเสียชีวิตคาที่ ไม่มีใครรู้สาเหตุการฆ่าตัวตายเลยจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบปากคำรูมเมทของเธอ ผู้เล่าขอแทนชื่อผู้ตายว่า อาจิง รูมเมทของเธอทั้ง 3 ต่างก็ไม่รู้สาเหตุที่เธอคิดสั้นเช่นกัน รูมเมทให้ปากคำว่า อาจิงจะเขียนไดอารี่ทุกวัน อาจจะบันทึกอะไรไว้ในไดอารี่ก็ได้ พอทางครอบครัว และรูมเมทได้อ่านไดอารี่ ก็พบว่าสาเหตุที่เธอเลือกจบชีวิตนั้นมาจาก ‘การโดนแกล้ง’
เนื้อหาคร่าวๆ ในไดอารี่ เธอเขียนระบายความรู้สึกที่ทั้งหวาดกลัว ทั้งวิตกกังวลจากการโดนบูลลี่ (Bully) โดนทำร้ายมาตลอดช่วงชีวิต ม.ปลาย อาจิงคิดว่าเมื่อจบ ม.ปลาย เข้ามหาวิทยาลัย เธอก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ในสภาพแวดล้อมใหม่ ได้เจอกับเพื่อนใหม่ และจะไม่ถูกแกล้งเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่! เหมือนสวรรค์ไม่เข้าข้างเธอเลย เพราะเธอนั้นดันต้องมาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับคนที่เคยกลั่นแกล้งเธอ ตลอดระยะเวลาเทอมแรกที่เรียนที่นี่ เธอพยามหลบหน้าเพื่อไม่ให้เจอเพื่อนเก่าคนนั้น แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด อาจิง และเพื่อนเก่าคนนั้นดันเรียนคณะเดียวกัน และเอกเดียวกันอีกด้วย อาจิงจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะเจอกับอดีต โดยในบันทึกอาจิงระบุว่า เพื่อนเก่าคนนั้นจำอาจิงได้ชัดเจน และไม่เลิกนิสัยเดิม คราวนี้รังแกอาจิงหนักกว่าเดิมเพื่อโชว์ให้แก๊งค์เพื่อนใหม่ดูว่าตนเองมีอิทธิพลมากมายแค่ไหน จนมาถึงฟางเส้นสุดท้าย วันนั้นอาจิงถูกเพื่อนเก่าคนนั้นสาดอาหารใส่เธอ แล้วหัวผู้เล่าะเยาะเธอ จากนั้นก็ด่าทอต่อว่าเธอเรื่องที่ทำเป็นไม่รู้จักเพื่อนเก่า ทั้งๆ ที่จำได้ดี เพื่อนเก่าคนนั้นเอาแต่ถามอาจิงซ้ำๆ ว่า ‘หนี่ หาย จี้ เตอะ หว่อ มะ? หนี่ จือ เต้า มะ หว่อ ชือ เฉ’ ( เธอยังจำฉันได้ไหม แล้วรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?) หลังจากเหตุการณ์นั้น พออาจิงกลับถึงหอ เธอเขียนไดอารี่แผ่นสุดท้ายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง เธอบันทึกว่าเธอคิดว่าชีวิตกำลังจะเริ่มต้นใหม่ที่นี่ แต่เปล่าเลย! มันจบลงไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เธอเข้าเรียนที่โรงเรียน ม.ปลายแล้ว (ในไดอารี่เธอเขียนเป็นชื่อโรงเรียนนั้น) และประโยคสุดท้ายที่เขียนไว้ก่อนเธอจะตัดสินจบชีวิตลงคือ ‘หนี่ จือ เต้า มะ หว่อ ชือ เฉ’ พอฟังมาถึงตรงนี้ผู้เล่าก็เข้าใจเลยค่ะ ว่าทำไมเขาถึงถามผู้เล่าด้วยประโยคนั้นทุกคืน เขาคงยึดติดกับคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากปากคนที่ทำร้ายเขาค่ะ
ปัจจุบันภาพเนื้อหาไดอารี่เหล่านี้ก็ยังคงมีในเว็บบอร์ดของคณะที่อาจิงศึกษาอยู่ เนื่องจากหนึ่งในรูมเมทของเธอปล่อยภาพนี้ออกไป เพื่อเตือนคนที่กำลังแกล้งคนอื่น และบุคคลที่มีกรณีแบบนี้อยู่ โดยซูซูผู้ดูแลสระไหว้น้ำเล่าว่า เด็กที่พักหอนั้นเจอบ่อยมาก เธอหลอกไปทั่วทั้งหอค่ะ คนโดนหลอกก็จะโดนถามคำถามแบบนี้ประจำเลย พอฟังๆ ไป ผู้เล่าถึงกับร้องไห้เลยค่ะ คนโดนบูลลี่จนเก็บกดมันเป็นแบบนี้นี่เอง และเหตุการณ์นี้คือครั้งแรก และครั้งเดียวที่ผู้เล่าโดนผีจีนรับน้องจนฝังใจมาจนทุกวันนี้

ข้อคิดจากเรื่องเล่าผี “รับน้องหลอนต่างแดน”
เรื่องเล่าผี “รับน้องหลอนต่างแดน” มีข้อคิดว่า ในการจะไปอยู่อาศัยที่ใดก็ตาม ผู้เล่าต้องมีการขอใช้พื้นที่ก่อนเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดูแล และยิ่งเป็นต่างแดนก็ต้องศึกษาดูว่า เขามีวิธีการขอใช้ห้องหรือสถานที่อย่างไรบ้างเพื่อไม่ให้มีเหตุฉุกเฉินจากสิ่งลี้ลับ รวมถึงการมีของดีติดตัวก็จะช่วยได้เช่นกัน เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาดีหรือไม่แต่ก็ควรอยู่คนละภพตามกฎจะดีที่สุด ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days