พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ ในการเดินทางไปยังเส้นทางต่าง ๆ ย่อมจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวคุณเองมาเป็นอันดับแรกเสมอ ไม่ว่าจะรีบร้อนเพื่อไปให้ทันทำธุระที่จุดหมายแค่ไหนก็ตาม แต่หากเส้นทางที่คุณต้องขับรถนั้นมันไม่เอื้ออำนวยก็ไม่สามารถรีบได้เพราะหากรีบเกินไปจากที่จะได้ไปถึงที่หมายเร็ว ๆ ก็อาจทำให้ประสบอุบัติเหตุจนอันตรายต่อชีวิตของคุณหรือรถอาจมีปัญหาก็ได้ การเดินทางจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะตอนกลางคืนแม้ว่าการเดินทางจะเสี่ยงต่อการเจอทั้งคนประสงค์ร้ายและผีแค่ไหน แต่อย่างไรสิ่งที่มีผลกระทบต่อชีวิตเรามากที่สุดก็คือ ความประมาทของตัวเรา เรื่องเล่าต่าง ๆ บนท้องถนนจึงเป็นบทเรียนสำคัญให้ทุกคนได้รู้ว่า ชีวิตของเราระหว่างการเดินทางมีค่ามากกว่าการไปให้ถึงจุดหมายมากแค่ไหน แม้แต่เรื่องของ “สะพานพ่อขุนผาเมือง” สะพานตอม่อคอนกรีตเสริมเหล็กที่สร้างข้ามห้วยตองอยู่ระหว่างอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ กับอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ห่างจากแยกพ่อขุน อำเภอหล่มสักประมาณ 18 กิโลเมตร อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 320 เมตร ก็เป็นหนึ่งในเส้นทางสุดน่าหวาดเสียวและเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายที่สุดของเมืองไทยด้วย ซึ่งวันนี้เราก็มีเรื่องราวผีสุดหลอนของ “รถทัวร์ปริศนา บนสะพานพ่อขุนผาเมือง” ที่จะมาเล่าให้คุณฟังกันเพื่อเป็นอุทาหรณ์
ประสบการณ์ผี “รถทัวร์ปริศนา บนสะพานพ่อขุนผาเมือง”

ประสบการณ์ผี “รถทัวร์ปริศนาบนสะพานพ่อขุนผาเมือง” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้เล่ากับสามี และลูก ๆ ที่ได้มีโอกาสเดินทางจากจังหวัดชัยภูมิไปหาญาติที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งปกติก็จะใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 12 ที่ต้องข้ามสะพานพ่อขุนผาเมืองทุกครั้งโดยที่ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใด ๆ แต่ก็ได้ยินมาว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานข้ามเหวลึกที่รถมักจะหลุดโค้งและเกิดอุบัติเหตุบ่อย ๆ ด้วยลักษณะเป็นทางที่ลาดลงเนินบนเขาของอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวแล้วขับลงสะพานที่มีความโค้งแบบต่อเนื่องเลยทำให้การควบคุมรถต้องชะลอและบังคับพวงมาลัยให้ดี
กระทั่งวันนั้นที่พวกเขาจำเป็นต้องออเดินทางไปยังจังหวัดเชียงรายโดยออกจากบ้านตอนเย็น ๆ และระหว่างทางก็แวะเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อตุนของว่างกับอาหารพร้อมรับประทานไว้รองท้องไว้ด้วย ทำให้กว่ารถของพวกเขาจะขับมาถึงบริเวณสะพานพ่อขุนผาเมืองได้ก็กลางคืนแล้ว โชคดีที่ในปีนั้น สะพานพอจะมีเสาไฟฟ้าติดตั้งบ้างทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นแนวโค้งของเส้นทางบนสะพานได้ชัด แต่ความผิดปกติก็ได้เกิดขึ้น ในขณะที่รถของพวกเขากำลังขับมาจนเกือบจะถึงปลายสะพานอีกฝั่งแล้ว ผู้เล่าก็ได้เห็นรถทัวร์คันหนึ่งที่ไม่ได้เปิดไฟหน้าขับสวนรถพวกเขามาจากอีกเลน ในใจของผู้เล่าก็คิดว่า “มันอันตรายกับผู้โดยสารนะ ทำไมถึงไม่เปิดไฟตอนขับรถเวลากลางคืน แถมกำลังวิ่งบนสะพานที่อันตรายแบบนี้ด้วย” พลางสายตาก็ได้ชะเง้อไปมองรถทัวร์คันดังกล่าวก็ต้องเกิดความแปลกใจมากเมื่อเห็นว่าสภาพรถทัวร์เต็มไปด้วยร่องรอยลอกของสีและเหล็กจนเห็นสนิมราวกับเป็นรถทัวร์เก่า อีกทั้งหน้าต่างทุกบานบนรถก็แตกจนเห็นเป็นเพียงแค่เศษเล็กน้อยแหลม ๆ ที่ติดตามกรอบเท่านั้น แต่ไม่มีอะไรจะชวนอึ้งไปกว่าการที่ผู้เล่าได้เห็นผู้โดยสารทุกที่นั่งบนรถต่างก็นั่งด้วยความนิ่งเฉยราวกับอยู่บนรถทัวร์ปกติ เธอจึงคิดว่านี่คงไม่ใช่รถทัวร์ปกติแล้วและรีบหันกลับไปสนใจทางข้างหน้าต่อเพื่อทำทีว่ามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
จนรถของพวกเขาขับจากสะพานขึ้นมาสู่เนินเขาอีกด้านก็เกิดเสียงของล้อรถที่เบรกเอี๊ยดบริเวณกลางสะพานก่อนจะกลายเป็นเสียงดังโครมด้านล่างก้องกังวานในหุบเขาจนสามีของผู้เล่าถึงกับต้องจอดรถริมถนนและหันไปมองข้างหลังพร้อมกับผู้เล่าด้วยความตกใจในขณะที่ลูกเล็กกำลังหลับได้ที่ แต่เมื่อมองจากในรถลงไปบริเวณสะพานก็ไม่เห็นมีอะไร แต่สามีเธอกลับพูดว่า “เมื่อกี้ผมเห็นมีรถทัวร์เพิ่งสวนเราไป คงเกิดอุบัติเหตุแน่ ๆ เราต้องวนรถกลับไปช่วยเขานะ!”

แน่นอนว่าผู้เล่าที่รู้ว่า รถทัวร์คันนั้นไม่ใช่รถทัวร์ปกติจึงพยายามบอกปัดว่า ไม่มีอะไรหรอก รีบไปกันเถอะ แต่สามีก็ดูจะไม่ฟังเธอและรีบขับรถวนกลับลงมาที่สะพานก่อนจะจอดรถที่กลางสะพานซึ่งเวลานั้นไม่มีรถใด ๆ ขับผ่านเลย สามีของผู้เล่ารีบลงและเดินไปที่ขอบสะพานพร้อมบอกให้ผู้เล่าเอาไฟฉายทั้งหมดที่มีในรถลงมาด้วยเพื่อส่องดูข้างล่าง แต่ไม่ว่าทั้งคู่จะลองเดินเอาไฟฉายส่องดูตามจุดใดก็มองอะไรไม่เห็นสักอย่างยกเว้นความมืดของหุบเหวและเสียงของลมกับนกที่อยู่ตามป่าเขา เธอที่เห็นสามีไม่ยอมแพ้ต่อการหารถที่ตกเหวสักทีจึงตัดสินใจเล่าสิ่งที่เจอก่อนหน้าให้เขาฟังพลางลูบแขนด้วยความขนลุก พร้อมกับให้เหตุผลว่า หากมีอุบัติเหตุจริงก็คงมีร่องรอยพังของขอบราวสะพานแล้วจากการชนแล้ว ทำให้สามีเธอถึงกับหน้าถอดสี
จังหวะนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือและเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดมากมายที่ดังจากด้านล่างของหุบเหวภายใต้ความมืดทำให้ความกลัวที่มีอยู่แล้วเพิ่มพูนสุดขีดจนรีบจูงมือผู้เล่าพากันขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว จนพวกเขาไปอยู่เชียงรายได้ไม่กี่วันก็ขับรถผ่านสะพานพ่อขุนผาเมืองอีกครั้งแต่ขากลับนี้พวกเขาเลือกที่จะมาตอนบ่ายจึงไม่น่ากลัว หลังจากเหตุการณ์นั้นพวกเขาก็ได้อ่านข่าวย้อนหลังและพบกับข่าวดังที่เมื่อปีก่อนมีรถทัวร์ของบริษัทแหกโค้งตกสะพานจนมีผู้เสียชีวิตครั้งใหญ่ซึ่งก็เป็นรถคันเดียวกับที่พวกเขาเห็นในคืนนั้น! ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะเดินทางผ่านสะพานนี้ตอนกลางคืนอีกเลย

ข้อคิดจากประสบการณ์ผี “รถทัวร์ปริศนาบนสะพานพ่อขุนผาเมือง”
ประสบการณ์ผี “รถทัวร์ปริศนาบนสะพานพ่อขุนผาเมือง” ได้ให้ข้อคิดว่า วิญญาณไม่ใช่สิ่งที่นำพาให้เราเกิดอันตราย แต่เป็นความกลัวในใจและความประมาทของมนุษย์เองที่จะนำพาตัวของคุณกับคนรอบตัวไปสู่ความตายจนไม่อาจหวนกลับมาได้ ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ
อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days