พบกันอีกครั้งกับ เรื่องลี้ลับ “กรุงเทพมหานคร” เมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและแสง สี เสียงมากมายที่ทำให้บรรยากาศทุกอย่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแห่งความครื้นเครงทั้งในตอนกลางวันและตอนกลางคืน หากแต่หลายคนอาจมองข้ามในอีกด้านหนึ่งของแสง สี เสียงที่ว่า ยิ่งมีความครื้นเครงมากเท่าไหร่ก็อาจจะทำให้ความสุขของผู้คนมีมากเกินไปจนกลายเป็นความมัวเมาและความลุ่มหลงในกิเลสได้ พอมารู้ตัวอีกทีเราก็อาจจะขาดสติและเผลอไปทำตามใจตัวเองจนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชีวิตบางชีวิตของคนได้โดยไม่รู้ตัว เหมือนอย่างเรื่องเล่าขานของ “สาวชุดดำวัดเสมียนนารี” ที่หากใครเป็นคนกรุงเทพมหานครและอยู่กับการฟัง ประสบการณ์สยอง ขวัญมานานหลายปีก็ย่อมที่จะรู้จักเรื่องราวของพวกเธอที่โด่งดังมากกว่าเรื่องผีอื่น ๆ เพราะนอกจากจะได้แง่มุมชีวิตด้านมืดที่คนกรุงมองข้ามแล้วก็ยังเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความระทึกขวัญทุกครั้งเมื่อทุกเคสได้พบกับ “สองพี่น้องชุดดำ!”
ประสบการณ์สยอง “ผีสาวชุดดำวัดเสมียนนารี”

เล่าประสบการณ์สยอง “ผีสาวชุดดำวัดเสมียนนารี” มีคนหลายคนที่พบเจอมาจนเรียกได้ว่า แทบไม่รู้จะประสบการณ์สยองขวัญของใครมาบอกเล่าเลย แต่วันนี้เราจะยกเอาประสบการณ์ของเหล่าคนขับแท็กซี่ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลส่วนใหญ่ที่มักจะเป็นผู้ถูกสองผีสาวชุดดำวัดเสมียนนารีหลอกหลอนสั่นประสาทกันเมื่อขับรถมาในเขตจตุจักรก็แล้วกัน เพราะทุกคนมักจะเจอประสบการณ์ที่คล้ายกัน
เรื่องราวประสบการณ์สยอง “ผีสาวชุดดำวัดเสมียนนารี” ได้มีการบอกเล่าเรื่องส่วนใหญ่ของคนขับแท็กซี่ที่ตัวเองได้มีโอกาสขับรถส่งผู้โดยสารตอนกลางคืนจนขับเข้ามาในเขตจตุจักรช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่งก็เห็นว่ามีผู้หญิงผมสั้น 2 คน แต่งกายด้วยชุดเดรสสีดำยืนก้มหน้าโบกรถอยู่ข้างทาง บางคนก็เจอบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า บางคนก็เจอยืนตรงฟุตบาทใกล้กับสี่แยกซึ่งเมื่อขึ้นมาแล้ว ผู้หญิงทั้งสองจะยังคงก้มหน้าทำให้คนขับแท็กซี่ไม่รู้ว่าพวกเธอมีใบหน้าอย่างไร ได้ยินเพียงแค่เสียงพูดเย็น ๆ ที่ว่า “…ไปวัดเสมียนนารี” ซึ่งระหว่างที่รถกำลังขับอยู่ พวกเธอก็นั่งเงียบ ไม่มีใครพูดเรื่องอะไร จนกระทั่งรถแท็กซี่ได้ข้ามมายังแยกวัดเสมียนนารีซึ่งตัดผ่านรางรถไฟ โดยวัดจะอยู่ริมทางรถไฟพอดี ไปอีกนิดเดียวก็จะถึงหน้าวัดแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะเลี้ยวไปยังวัด ผู้หญิงชุดดำทั้งสองก็บอกให้จอดรถตรงนี้ ซึ่งคนขับแท็กซี่ก็จอดข้างทางรถไฟอย่างงง ๆ ทว่ายังไม่ได้ถามอะไร ผู้หญิงชุดดำทั้งสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลังก็หายไปแล้ว! คนขับแท็กซี่จึงตกใจแล้วรีบลงจากรถเผื่อว่าพวกเธอจะลงจากรถไปแล้วลืมจ่ายเงิน เขาจะได้เรียกทัน แต่สิ่งที่หลอนกว่าความมืดที่มีเพียงแสงไฟน้อยต้นริมทางรถไฟนั้น คือ พวกเขาเห็นร่างของผู้โดยสารสาวชุดดำสองคนที่ตอนนี้ขาดครึ่งท่อนอยู่บนรางรถไฟที่ไม่ห่างจากถนนสี่แยกวัดเสมียนนารีที่เขาจอดรถอยู่นักกำลังค่อย ๆ คลานมายังจุดที่เขายืนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด แผลเหวอะหวะ จ้องคนขับแท็กซี่ด้วยแววตาโกรธแค้น คนขับแท็กซี่จึงตกใจและรีบกระโดดขึ้นรถก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนจะมาทราบข้อมูลจากชาวบ้านและพระในวัดเสมียนนารีในภายหลังว่า สาวชุดดำสองคนนั้นเป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งชื่อ “ชุลี” และอีกคนชื่อ “สุลี” ทั้งสองเป็นคนสวยที่ใครเห็นก็ต้องหลงรัก พวกเธอจากบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานครเมื่อหลายปีก่อน แต่ในระหว่างที่กลับหอ จังหวะผ่านแยกวัดเสมียนนารีกลับถูกคนที่รับ – ส่งพวกเธอทำมิดีมิร้ายท่ามกลางบรรยากาศเปลี่ยวไม่มีไฟจนพวกเธอเสียชีวิต คนที่ทำมิดีมิร้ายจึงได้นำร่างพวกเธอไปอำพรางคดีโดยวางไว้กลางรางรถไฟจนเมื่อรถไฟมาแล้วมองไม่เห็นจึงทับร่างของพวกเธอจนขาดเป็นสองท่อน ทำให้วิญญาณของพวกเธออาฆาตแค้นคนที่ขับรถยนต์มาก โดยเฉพาะคนที่ขับรถแท็กซี่มักจะไม่พลาดเจอทุกรายหากขับมาในเวลาที่ถนนแยกวัดเสมียนนารีไม่ค่อยมีรถผ่าน
เรื่องราวปัจจุบันของ “ผีสาวชุดดำวัดเสมียนนารี”
เล่าประสบการณ์สยอง “ผีสาวชุดดำวัดเสมียนนารี” ในสมัยนี้ไม่ค่อยจะมีคนเจอกันมากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม้ว่าจะมีเรื่องราวของบางคนที่ขับรถกลับจากทำงานดึก ๆ เที่ยงคืนซึ่งรถไม่ค่อยมีแล้วเจอสาวชุดดำ 2 คนโบกรถอยู่ริมทางรถไฟใกล้แยกวัดเสมียนนารีบ้าง แต่ด้วยเพราะความเจริญของไฟฟ้า ร้านรวง และตึกรามบ้านช่องที่เข้าถึงถนนเส้นวัดเสมียนนารีแบบครอบคลุมแล้วทำให้บริเวณนี้ไม่ได้มืดและมีคนขับรถผ่านน้อยจนเปลี่ยวหรือน่ากลัวเท่ากับในอดีต ติดตามกันต่อได้ใน เรื่องลี้ลับ

อัพเดทข่าวสาร สาระดีๆ เพิ่มเติมที่ The7days