ความริษยาเป็นสิ่งชั่วร้ายและอันตราย ถึงขั้นที่ทางศาสนาคริสต์ยกให้ความริษยานั้นเป็นหนึ่งในบาปทั้งเจ็ด ถึงอย่างนั้นความริษยาก็เป็นหนึ่งในธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความคิดและมีชีวิตจิตใจ จึงรับรู้ได้ถึงความไม่เท่าเทียมชัดเจนกว่าสัตว์อื่น ทำให้อาจเกิดความริษยาได้มากกว่า นัยน์ตาปีศาจเป็นความเชื่อที่มีความเก่าแก่มากกว่า 5000 ปี ซึ่งเป็นความเชื่อที่แพร่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยผู้คนทุกชาติพันธ์ต่างเชื่อว่า พลังแห่งการจ้องมองนั้นสาปแช่งคนได้จริงๆ โดยจุดเริ่มต้นของนัยน์ตาปีศาจเชื่อกันว่ามาจากความริษยาหรือจิตคิดร้ายอิจฉาไม่อยากให้ผู้อื่นได้ดี
ความน่ากลัวของนัยน์ตาปีศาจและวิธีป้องกัน
นัยน์ตาปีศาจหรือความริษยานั้นเกิดขึ้นได้ ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ดังที่กล่าวไปว่าความริษยานั้นเป็นสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ ดังนั้นบางคนอาจจะเผลอจ้องมองคนอื่นด้วยความริษยาทั้งที่ยังไม่รู้ตัว พลังของนัยน์ตาปีศาจน่ากลัวตรงที่สามารถทำให้ผู้ที่ถูกจ้องมองได้รับพลังงานลบจนถึงขั้นป่วยไข้หรือล้มตายได้เลยทีเดียว ทางจิตวิทยาก็พิสูจน์แล้วว่าพลังงานด้านลบจากสายตาของคนนั้น เป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจจริงๆ ผู้ที่โดนนัยน์ตาปีศาจอาจไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกนัยน์ตาปีศาจเล่นงานอยู่ โดยนัยน์ตาปีศาจนั้นอาจเป็นสื่อนำพามาซึ่งโรคภัยและโชคร้ายได้ด้วย ทางด้านวัฒนธรรมของประเทศต่างๆจึงมีการทดสอบว่าตอนนี้เรากำลังถูกนัยน์ตาปีศาจโจมตีอยู่หรือไม่ วิธีการก็มีหลากหลายวิธี เช่น นำถ่านมาลอยในน้ำ หากถ่านจมแปลว่าเรายังอยู่รอดปลอดภัยไม่มีนัยน์ตาปีศาจมาทำร้าย แต่หากถ่านจมแปลว่านัยน์ตาปีศาจกำลังเล่นงานเราอยู่ ทางประเทศสเปนเชื่อว่าหากถูกนัยน์ตาปีศาจเล่นงาน ให้ผู้ที่ใช้นัยน์ตาปีศาจจ้องมองเราเอามือมาสัมผัสที่ตัวจะเป็นการแก้ได้ เพราะผู้ที่ถูกนัยน์ตาปีศาจจู่โจมมากที่สุดมักจะเป็นเด็ก เพราะผู้ใหญ่มักชอบเผลอมองเด็กๆด้วยความชื่นชมอยู่เสมอและแน่นอนว่าความอิจฉาก็เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกชื่นชมด้วย สเปนจึงเชื่อว่า หากชมขณะที่เอามือลูบตัวเด็กๆไปด้วยจะทำให้นัยน์ตาปีศาจมีพลังงานด้านลบลดลง บางประเทศก็บอกว่าให้ผูกเตียงด้ายแดงหรือนำเกลือมาโรยไว้รอบๆเตียง เพื่อขับไล่นัยน์ตาปีศาจหรือบางวัฒนธรรมก็มีการคิดค้นเครื่องรางขึ้นมา เพื่อป้องกันนัยน์ตาปีศาจโดยเฉพาะ โดยเครื่องรางส่วนใหญ่ที่ใช้ป้องกันจะมีลักษณะเป็นรูปดวงตา มีพลังที่ช่วยในการหักเหพลังงานด้านลบของนัยน์ตาปีศาจให้สะท้อนออกไปจากตัว โดยเครื่องรางเหล่านี้ก็มักจะถูกเรียกในชื่อเดียวกันว่านัยน์ตาปีศาจหรืออาจมีการตั้งชื่อต่างๆเช่น Eye of Horus ของอียิปต์ ,นาซาร์ บองกุกูของชาวตุรกี, หินซีบีดของชาวทิเบต
นัยน์ตาปีศาจยังคงเป็นพลังงานลึกลับและเป็นศูนย์รวมความเชื่อของคนทั่วโลก ซึ่งแม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อในพลังของกระแสจิตก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากสายตาของผู้คนได้เช่นกัน หากใครสนใจเครื่องรางที่ใช้ป้องกันนัยน์ตาปีศาจก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องรางต่างๆ ปัจจุบันก็มีการทำนัยน์ตาปีศาจเป็นเครื่องประดับสวยงามมากมายอย่าง ต่างหู สร้อยคอ กำไลด้วย
