พระพุทธรูปปางเสพสังวาสหรือพระพุทธรูปปางยับยุม คือ พระพุทธรูปที่มีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปในศาสนาพุทธทั่วๆไป ต่างตรงที่มีผู้หญิงขึ้นคร่อมบนตักและโอบกอดคอของพระพุทธรูปไว้ ซึ่งหลายคนที่นับถือศาสนาพุทธในประเทศไทยเห็นแล้วคงรู้สึกแปลกประหลาด ไปจนถึงขั้นรับไม่ได้ เนื่องจากไทยเราถูกปลุกฝังว่า พระพุทธรูปกับสตรีเพศเป็นของต้องห้าม แต่พระพุทธรูปปางยับยุมนั้น มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกก่อนพระพุทธศาสนาถือกำเนิดขึ้นกว่า 800 ปีแล้ว
ความเชื่อของลัทธิตันตระต่อพระพุทธรูปปางยับยุม
โดยทั่วไปในต่างประเทศจะเรียกพระพุทธรูปในลักษณะนี้ว่า พระพุทธรูปปางยับยุม โดยยับยุม เป็นภาษาธิเบต หมายถึง พ่อแม่ และหากใครได้ศึกษาต้นต่อของศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้งจะเข้าใจว่า ศาสนาพุทธมีหลายนิกายด้วยกัน ซึ่งนิกายที่เรานับถือเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นหนึ่งในนิกายมากมายเหล่านั้น โดยพระพุทธรูปปางยับยุม ไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือเจ้าชายสิทธัตถะที่เรารู้จักกัน แต่เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ที่บรรลุธรรมด้วยหลักคำสอนที่ว่า ชายหญิงเป็นของคู่กัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเสียไม่ได้ หากอยากบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์นั้น ต้องศึกษาในเรื่องของการเสพสังวาสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกอย่างถ่องแท้ด้วย โดยนิกายที่นับถือหลักคำสอนดังกล่าว เรียกว่า ศาสนาพุทธนิกายมาหายาน แบ่งย่อยเป็นลัทธิตันตระ เป็นลัทธิที่มีความเชื่อว่า การบูชาโยนีเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากขาดเพศแม่ไป คงไม่มีสิ่งใดถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกได้ และผู้ชายก็คงจะนิ่งไม่ไหวติงเหมือนท่อนไม้ แห้งเหี่ยวตายไปในที่สุดหากขาดสตรี คำสอนของลัทธิตันตระจึงมุ่งให้คนในลัทธิศึกษาเรื่องเพศอย่างถ่องแท้เพื่อนำไปสู่การตรัสรู้ที่แท้จริง โดยจะมีแยกย่อยอีกสองแบบ คือ แบบแรกที่แค่จินตนาการถึงการมีเพศสัมพันธ์และรับรู้มัน และแบบที่สอง คือ พวกค่อนข้างหัวรุนแรง เชื่อว่าต้องลงมือปฏิบัติจริงไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวและการเสพสังวาสกับแม่ตัวเองด้วย เพราะฝั่งนี้เชื่อว่า การจะบรรลุธรรมได้นั้น เพียงแค่ผู้ปฏิบัติธรรมมีจิตใจและอุดมการณ์ที่แน่วแน่ว่า ต้องการจะตรัสรู้ ถึงแม้ต้องใช้วิธีการใดก็ไม่สำคัญ หากการร่วมเพศเป็นการช่วยเหลือให้ผู้อื่นมีความสุขก็นับเป็นการทำทานอย่างนึงได้เหมือนกัน พระพุทธรูปปางยับยุมเองก็เป็นสิ่งที่ลัทธิตันตระสร้างขึ้นมาจากหลักธรรมคำสอนเหล่านั้น
หากมองแค่ผิวเผินโดยไม่ศึกษาก่อน หลายคนคงไม่เข้าใจว่า พระพุทธรูปปางยับยุมจะสร้างขึ้นมาให้บัดสีต่อศาสนาพุทธอันน่าเลื่อมใสทำไม? แต่หากมองอย่างลึกซึ้งแล้ว ศาสนานับเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คน จึงไม่แปลกเลยที่แต่ละคนจะมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจแตกต่างกัน