แม่ซื้อผีติดเด็ก

‘แม่ซื้อ’ เป็นความเชื่อเรื่องผีแต่โบราณของชาวไทย สมัยก่อนคนไทยเชื่อว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นมาจากผี ผีเป็นผู้สร้างธรรมชาติ สัตว์นานาพันธุ์ รวมถึงมนุษย์ด้วย ผู้สร้างย่อม หมายถึง ผู้เป็นเจ้าของ สร้างมาแล้วก็มีสิทธิ์จะยึดคืนได้ ฉะนั้น เมื่อเด็กเกิดมาหน้าตาน่ารัก พ่อแม่และคนรอบข้างจึงมักพูดเพื่อเป็นการหลอกล่อไม่ให้ผีเอาเด็กไปว่า หน้าตาน่าเกลียดน่าชังหรือแกล้งทำเป็น ให้คนอื่นมาซื้อลูกของตัวเองไป โดยผู้ที่รับบทบาทเป็นคนซื้อเด็กๆไป ก็ถูกเรียกว่า ‘แม่ซื้อ’ เช่นกัน ความเชื่อเรื่อง แม่ซื้อ บางตำนานเล่าว่า แม่ซื้อนั้น เป็นเทวดาที่คอยปกปักษ์รักษาเด็กแรกเกิด ตามตำราวัดโพธิ์ซึ่งเป็น ตำราเก่าแก่มีชื่อเสียงระบุว่า แม่ซื้อมีทั้งหมด 7 ตน ตามวันเกิดเด็ก จันทร์-อาทิตย์ ได้แก่ แม่ซื้อวันจันทร์ มีชื่อว่า ‘วรรณนงคราญ’ ลักษณะหัวเป็นม้า ผิวสีขาวนวล มีถิ่นที่อยู่ คือ บ่อน้ำ ,แม่ซื้อวันอังคาร นามว่า ‘ยักษบริสุทธิ์’ หัวเป็นควายหรือมหิงสา ผิวสีชมพู แหล่งที่อยู่ คือ ศาลเทพารักษ์, แม่ซื้อวันพุธ ชื่อ ‘สามลทัศ’ หัวเป็นช้าง ผิวสีเขียว อาศัยอยู่ […]
ตำนานผีปอบ พระอุ้มหมาชีอุ้มแมว

พระอุ้มหมาชีอุ้มแมวเป็นเรื่องเล่าผีปอปที่โด่งดังในประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่ง จนถึงขั้นใบหนาดซึ่งผู้คนเชื่อว่าจะสามารถไล่ผีปอบได้ขายดิบขายดีจนขาดตลาดกันเลยทีเดียว พระอุ้มหมาชีอุ้มแมวเดิมทีเป็นเปรตนรกจำแลงกายออกล่าเหยื่อ จ้องจะกินตับไตไส้พุงของผู้คน หรือบ้างก็เรียกว่า ผีปอบ พระอุ้มหมาชีอุ้มแมวมีนัยยะมาจากความเชื่อของคนอีสาน กล่าวว่าหมาดำเป็นสัญลักษณ์ของผีปอบและแมวดำเองก็เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความตาย ดังจะเห็นได้จากความเชื่อที่ว่าแมวดำกระโดดข้ามโลงศพ ศพจะเฮี้ยนลุกขึ้นมาหลอกหลอนผู้คนได้ ความน่ากลัวของพระอุ้มหมาชีอุ้มแมว เรื่องราวของพระอุ้มหมาชีอุ้มแมวมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งพระธุดงค์แปลกหน้าอุ้มหมาดำเดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่พูดไม่จา ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าน่าจะเป็นพระต่างถิ่น ประกอบกับในตอนนั้นดึกมากแล้ว ชาวบ้านใจดีจึงได้เชิญพระรูปนั้นเข้ามาพักผ่อนในบ้านก่อน เพราะกลัวจะเกิดอันตรายในการเดินทางตอนกลางคืน ไม่กี่วันต่อมาชาวบ้านคนอื่นๆก็ได้พบศพ ของเจ้าของบ้านที่พระรูปนั้นเคยมาค้าง ภายนอกไม่มีร่องรอยอะไรเหมือนคนไหลตาย แต่เมื่อลองตรวจสอบดูแล้วพบว่า เครื่องในหายไป จึงมีการเตือนให้ระวังปอบจำแลงแปลงกายมาเป็นพระ จนวันหนึ่ง มีแม่ชีท่าทางประหลาดหน้าตาอึมครึมอุ้มแมวดำเดินผ่านทางมา ไม่พูดไม่จาเหมือนพระรูปก่อน แล้วเกิดเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้กับคนที่เชื้อเชิญให้แม่ชีเข้าบ้านตอนกลางคืน ผู้ที่พบเจอแล้วรอดชีวิตมาได้ บอกว่าได้กลิ่นเหม็นซากศพจากตัวของแม่ชี จึงเชื่อว่าแม่ชีอุ้มแมวดำเองก็เป็นปอบจำแลงกายมาเช่นกัน เหล่าชาวบ้านจึงคอยตักเตือนกันว่า หากใครเจอพระอุ้มหมาชีอุ้มแมวไม่พูดไม่จาในตอนกลางคืนห้ามเชิญเข้าบ้าน ห้ามพูดด้วย ห้ามสบตาเด็ดขาด โดยเรื่องนี้ไม่ได้มีเฉพาะเพียงในหมู่บ้านเล็กๆเท่านั้น ยังลามปามไปถึงเมืองหลวงอย่างกรุงเทพ ที่เคยมีข่าวว่า ผีปอบออกอาละวาดในรูปแบบของพระจูงหมาดำด้วย แม้พระอุ้มหมาชีอุ้มแมวจะเป็นเรื่องราวผีปอปน่ากลัวและมีการกล่าวถึงกันเยอะ แต่แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องแต่ง จากหนังสือ ‘พระอุ้มจูงหมา ชีอุ้มแมวดำ’ ของนักเขียนคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเนื้อหา คือ การรวบรวมข้อมูลนั่งเทียนเขียนจากการบอกเล่าของชาวบ้านเกี่ยวกับปอบ ไม่มีหลักฐานใดยืนยันถึงตัวตนของพระอุ้มหมาชีอุ้มแมวได้เลย นอกจากชาวบ้านที่บอกว่าได้ยินต่อๆกันมาเท่านั้น #ตำนานผีปอบ #พระอุ้มหมาชีอุ้มแมว #เรื่องลี้ลับ #ตำนานสยอง
เคล็ดลับเสริมดวงโชคลาภ ให้เฮงๆ ปังๆ

โชคชะตา เป็นเรื่องที่เราอาจคาดเดาไม่ได้ บางครั้งก็เล่นตลกกับเรา เช่นในการเสี่ยงดวงสี่ยงดวง อาจเฉียดไปเฉียดมา หรือการทำอะไรแล้วติดๆขัดๆ ไปเสียหมดทุกย่าง สำหรับผุ้ที่มีความศรัทธาเชื่อถือในสิ่งต่างๆ มีความเชื่อว่า เราสามารถที่จะส่งเสริมดวงได้ ด้วยวิธีต่างๆ ให้เฮงๆ ปังๆ ได้ จะมีวิธีไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ 1.ไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แสดงออกถึงความศรัทธาเชื่อถือ ในตัวเราที่มีต่อสิ่งศักดิ์ ด้วยจิตใจสงบ ตามพิธีกรรมต่างที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา ก็จะช่วยส่งเสริมให้เกิดพลังดีๆ คอยหนุนนำ ทำอะไรก็จะราบรื่นขึ้น มีโชคมีลาภตามมามาได้เช่นกัน พลังแห่งความศรัทธา เป็นสิ่งที่ผู้ที่ศรัทธาจะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อมีที่พึงทางใจ ช่วยให้เราพร้อมที่จะเผชิญกับหลายเรื่องราวได้อย่างเข้มแข็งนะตะ 2. หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้า บางครั้งชีวิต ได้พบเจอกับเรื่องแย่ๆ หลายๆครั้ง เรามักจะโทษตัวเองว่าเราอาจเต็มพี่ไม่พอบ้าง อะไรบ้าง แต่สิงเหล่านี้ก็อาจเกิดจากเจ้ากรรมนายเวร คอยขัดขวางไม่ให้พบเจอความเจริญรุ่งเรือง ไม่ให้สมหวังก็เป็นได้ เพราะดวงวิญญาณเหล่านั้น เขาต้องการแก้แค้น ไม่ให้เราสงบสุข จึงควรหมั่นทำบุญ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้เขาอยู่เสมอ เมื่อเขาได้รับพลังแห่งความดี อาจช่วยส่งผลให้เรื่องราวแย่ๆที่เกิดบรรเทาเบาบางลง จากร้ายกลายเป็นดีได้ได้ค่ะ 3. ทำทานปล่อยสัตว์ที่กำลังจะถึงชีวิต การให้ชีวิต ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถือเป็นการแก้เคล็ดที่ดี เป็นทานอันยิ่งใหญ่ เพราะทุกชีวิตล้วนรักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งสิ้น […]
ผีนางรำ อาถรรพ์ห้องดนตรีไทย

ผีนางรำเป็นผีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น คือ เป็นหญิงสาว รูปร่างผอมเพรียว สวมชฎา ใส่ชุดนางรำ ทาแป้งหน้าขาวและปากแดงจัดเหมือนหยดเลือด ผีนางรำเป็นผีที่เกิดจากอาถรรพ์ของนาฏศิลป์ โดยเชื่อว่าผีนางรำนั้น ก่อนตายคือผู้ที่เคยลบหลู่นาฏศิลป์มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น คิดค่าครูแพงเกินไป ขโมยของในห้องดนตรีไปขาย หรือแม้แต่ลบหลู่ครูบา เมื่อตายจึงต้องชดใช้กรรม เป็นผีนางรำร่ายรำท่าเดิมซ้ำๆไปเรื่อยๆ บ้างก็ว่าเป็นผู้ที่มีวิชาชีพเต้นกินรำกิน เมื่อตายไปจึงเกิดความผูกพัน กลายเป็นผีนางรำ อีกความเชื่อหนึ่งบอกว่าผีนางรำคือผู้ที่ตายโหงในห้องนาฏศิลป์ แล้วยังมีจิตอาฆาตไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ อาถรรพ์ผีนางรำ โดยทั่วไปแล้วผีนางรำมักถูกพบเห็นตามสถานที่รกร้างต่างๆหรือห้องดนตรีไทย เชื่อว่าบทบาทของผีนางรำนั้น ไม่ได้เป็นเพียงวิญญาณอาฆาต แต่บางครั้งก็มาในรูปแบบของผีเจ้าที่คอยเฝ้าทรัพย์สมบัติ หรือมาในฐานะข้ารับใช้วิญญาณเจ้าที่ของสถานที่นั้นๆอีกที ปกติแล้วคนเรามักจะเห็นผีนางรำแค่ตนเดียว ซึ่งก่อนปรากฏตัวจะมีเสียงดนตรีไทยดังขึ้น ทั้งระนาด ซอ ฉิ่ง ฉาบ แต่แท้จริงแล้วผีนางรำมากันเป็นกลุ่มหลายตน เหมือนกับคณะนางรำ หากใครที่มีจิตสัมผัสแรงกล้าก็จะยิ่งเห็นผีนางรำเยอะหลายตน เมื่อปรากฏตัวขึ้นผีนางรำจะร่ายรำด้วยท่าทางเดิมๆ ซึ่งเป็นท่าทางที่อ่อนช้อยสวยงาม แต่น่าสยดสยอง ก่อนจะหักคอ ฉีกยิ้มสยดสยอง จ้องมองเราด้วยดวงตาขาวโพลน เคยมีเรื่องเล่าสยองเกี่ยวกับความน่ากลัวความผีนางรำว่า ครั้งหนึ่งมีโจรสองคนเข้าไปปล้นห้องดนตรีไทยแล้วถูกผีนางรำฆ่าอย่างทารุณ คนหนึ่งโดนกระทืบจนตาย มีรอยช้ำเลือดเต็มตัว ส่วนอีกคนโดนหักกระดูกจนตายคาห้องดนตรีไทย แต่โดยปกติแล้วผีนางรำจะไม่ทำร้ายใครสุ่มสี่สุ่มห้า หากไม่ใช่บุคคลที่ตนมีความอาฆาตแค้นก่อนตายหรือลบหลู่สถานที่ ครูบานาฏศิลป์ไทย รวมถึงครูดนตรีต่างๆ ฉะนั้นแล้ว หากเราไม่ได้ทำอะไรผิดหรือไปลบหลู่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร อีกแง่หนึ่งผีนางรำก็เป็นเหมือนกุศโลบายที่ทำให้ผู้ที่ศึกษาศาสตร์ดนตรีไทยและนาฏศิลป์รู้จักทะนุถนอมเครื่องดนตรี […]
เผาพริกเผาเกลือ พิธีกรรมสาปแช่งโบราณของไทย

ในสังคมแห่งศีลธรรมและกฎหมาย ที่คนต้องเก็บกดความแค้นเอาไว้ไม่สามารถระบายออกได้ตรงๆ ซึ่งความเกลียดชังเองก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์มนุษย์เราที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เรียกว่า การสาปแช่งจึงเกิดขึ้นและมีในทุกวัฒนธรรม ของไทยเราเองก็มีการสาปแช่งโบราณที่ต่างนำมาพูดถึงกันจนถึงปัจจุบันอย่างการเผาพริกเผาเกลืออยู่เช่นกัน แล้วสิ่งที่เรียกว่าการเผาพริกเผาเกลือนั้นเป็นอย่างไร ต้องทำพิธีกรรมซับซ้อนแค่ไหน เราไปดูกันเลยดีกว่า ระบายความแค้นด้วยการเผาพริกเผาเกลือ เผาพริกเผาเกลือเป็นวิธีการสาปแช่งของคนโบราณ โดยสมัยก่อนนั้นเวลาไม่ชอบขี้หน้าใครแต่หาทางออกทางระบายไม่ได้ก็จะไปลงที่การเผาพริกเผาเกลือ ซึ่งผู้ที่ทำวิธีการเผาพริกเผาเกลือนั้น ต้องรู้สึกเกลียดชังคนที่เราสาปแช่งมากๆ โดยพิธีกรรมนี้จะทำได้ง่ายๆ คือ หากเป็นช่วงเช้า ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หยิบเกลือมาหนึ่งกำมือแล้วนำน้ำราดลงไปบนเกลือ เป็นการสื่อว่าให้ผู้ที่ถูกสาปแช่งหลอมละลายไปเหมือนเกลือที่ถูกน้ำละลาย หากเป็นในตอนเย็นให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก จุดไฟแล้วนำเกลือหนึ่งกำมือสาดใส่ไฟ สื่อว่าขอให้ผู้ที่ถูกสาปแช่งนั้นมอดไหม้แตกประทุไปเหมือนเกลือที่ถูกไฟเผา ก่อนจะทำการละลายหรือเผาเกลือนั้น ผู้สาปแช่งจะสบถคำด่า คิดถึงหน้าผู้ถูกสาปแช่ง และส่งจิตมุ่งร้ายไปที่เกลือจนสาแก่ใจ จากนั้นบางความเชื่อก็บอกว่าให้จุดธูปหรือตั้งจิตเรียกภูตผีปีศาจออกมาช่วยสาปแช่งกำจัดคนๆนั้นด้วย ในสมัยแรกเริ่มนั้นมีเพียงการเผาและละลายเกลือเท่านั้น แต่เมื่อความเชื่อนี้ทำกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ก็เริ่มมีพริกเข้ามาเป็นส่วนเกี่ยวข้อง โดยเชื่อว่าการเผาพริกนั้นจะทำให้คนที่ถูกสาปแช่งรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ระบมอกร้อนใจเหมือนดั่งไฟและพริกที่ถูกแผดเผา การเผาพริกเผาเกลือนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ต่อคนที่ตนสาปแช่งว่า แม้คนๆนั้นตายไปเราก็จะไม่ขอเผาผีเขาหรือแม้ตายจะไม่ยอมญาติดีด้วยเด็ดขาด ขอเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งยังดีซะกว่า ในส่วนของผลในการสาปแช่งนั้น เชื่อว่าเป็นเพียงการระบายอารมณ์เท่านั้น เพราะผู้ที่ถูกสาปแช่งไม่เคยมีใครได้รับผลแบบชัดเจนจากพิธีกรรมนี้จริงๆ อีกทั้งผู้ที่สาปแช่งยังเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีพลังอาคมอะไร ปัจจุบันพิธีกรรมเผาพริกเผาเกลือนั้น บางคนก็นำเกลือและพริกมาตำรวมกันก่อนเพื่อระบายความแค้นและเผาลงในกองไฟทีเดียว ที่พิธีกรรมเผาพริกเผาเกลือยังคงฮิตอยู่ อาจเพราะเป็นสิ่งที่นิยมพูดต่อๆกันมาปากต่อปาก จนดูมีความขลัง อีกทั้งอุปกรณ์และวิธีการทำยังแสนง่ายดายอีกด้วย หากเทียบกับการสาปแช่งแบบอื่นๆ อย่างไรก็ดี คนที่จะทรมานกับการสาปแช่งนั้น สุดท้ายก็มีเพียงตัวของผู้สาปแช่งเองที่จะต้องทนแสบตาดมกลิ่นพริกเกลือที่ถูกเผาในกองไฟ เหมือนกับกุศโลบายในชีวิตจริงที่บอกว่า โกรธคือโง่โมโหคือบ้านั่นเอง #เผาพริกเผาเกลือ #พิธีกรรมสาปแช่ง #เรื่องลี้ลับ
บูกี้แมน ผีร้ายที่เด็กๆทั่วโลกต่างหวาดกลัว

บูกี้แมนเป็นเรื่องราวผีสุดหลอน ที่ผู้ใหญ่เอาไว้หลอกเด็กให้เชื่อฟังคำสั่ง โดยเอาผีบูกี้แมนมาขู่ว่า หากไม่ทำตามที่สั่งจะถูกผีบูกี้แมนตามหลอกหลอน เรื่องราวของการใช้ผีขู่เด็กนั้น มีอยู่ในทุกวัฒนธรรม แต่ผีส่วนใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในการใช้คู่เด็กให้กลัว คือ บูกี้แมน โดยแต่ละความเชื่อเกี่ยวกับบูกี้แมนก็จะแตกต่างกันออกไป ตัวตนที่แท้จริงของบูกี้แมน บูกี้แมนหรือโบกี้แมน เป็นผีที่ตามหลอกหลอนเฉพาะเด็กๆ โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนผีบูกี้แมนหลอกหรือพบเห็นการปรากฏตัว มักจะเป็นเด็กเสียส่วนใหญ่ มีน้อยมากที่ผู้ใหญ่จะเห็นและเด็กๆเมื่อเติบโตไปแล้วก็จะไม่เห็นบูกี้แมนอีก จึงอนุมานได้ว่ามันเป็นผีที่มีนิสัยชอบกลั่นแกล้งเด็ก โดยเฉพาะกับเด็กที่นิสัยไม่ดี ทำตัวท้าทายลบหลู่ บูกี้แมนนั้นมีรูปร่างลักษณะที่ไม่แน่นอน บ้างก็ว่าเป็นชายสวมชุดคุม ตัวสูงบ้างตัวเตี้ยบ้าง บางคนก็บอกว่าเป็นปีศาจหน้าตาประหลาด จึงสันนิษฐานได้ว่าบูกี้แมนสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ โดยเด็กๆจะเห็นบูกี้แมนในรูปแบบไหน ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่กลัวคืออะไร ลักษณะการหลอกหลอนของบูกี้แมนคือ มันมักจะแอบอยู่แถวมุมอับในห้องนอนเด็ก อย่างตู้เสื้อผ้า ใต้เตียง ในลิ้นชัก บ้างก็เดินผ่านเป็นเงานอกหน้าต่างให้เด็กๆกลัว ก่อนนอนจึงควรต้องตรวจสอบให้ดีว่าที่หน้าต่าง ในตู้และใต้เตียงนั้น เรียบร้อยดีหรือไม่ ต่อให้ตรวจสอบดีแล้วแต่ไม่ยอมหลับยอมนอน บูกี้แมนก็มีโอกาสมาหลอกหลอนอยู่ดี โดยมันจะค่อยๆดันประตูตู้เงื้อมือออกมาหรืออาจจะแอบอยู่ใต้เตียงคอยใช้มือดึงขาเราตอนนอน บ้างก็ว่าบูกี้แมนอาจปรากฏอยู่ปลายเตียง ใช้สายตาอันน่ากลัวจ้องมองเหยื่อและค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ส่วนใหญ่แล้วบูกี้แมนจะไม่ทำร้ายร่างกายเหยื่อ แต่เคยมีเรื่องเล่าว่ามีเด็กถูกบูกี้แมนแมนทำร้ายเป็นรอยข่วนเต็มตัว เมื่อตำรวจสอบปากคำพยายามหาว่าคนร้ายคือใคร เด็กก็ตอบเพียงว่าบูกี้แมน ในส่วนของวิธีป้องกันบูกี้แมน เชื่อว่าทำได้โดยการเมินเฉยต่อมัน หากเห็นมันปรากฏตัวหรือได้ยินเสียง ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หากยิ่งกลัวบูกี้แมนก็จะยิ่งตามหลอกหลอน มีความเชื่อหนึ่งบอกว่าบูกี้แมนนั้นเดิมทีไม่ใช่ผี แต่เป็นโจรสลัดที่มีความโหดเหี้ยม จนชาวบ้านต่างนำเรื่องราวไปเล่าต่อๆกัน รวมถึงขู่ลูกหลานเมื่อไม่เชื่อฟังด้วย กาลเวลาผ่านไปก็ดัดแปลงเป็นเรื่องเล่าน่าสยดสยอง โดยชื่อของโจรสลัดคนนี้คือ […]
นอนโลงสะเดาะเคราะห์ ต่ออายุยืดเวลาชีวิต

ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ก็เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนต้องพบเจอในสักวัน ในศาสนาพุทธนั้นเชื่อว่า เมื่อตายไปแล้วเราจะเวียนว่ายตายเกิดใหม่หรือหากมีบุญมากๆก็จะจากไปสู่นิพาน คือการดับสูญของวิญญาณ จะไม่ต้องมาชดใช้กรรมอีก ยังมีความเชื่อที่ว่าบาปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบล้างได้ ต่อให้ทำความดีมากเท่าไหร่ แต่ถ้าทำบาปไปแล้วสุดท้ายก็ต้องชดใช้กรรมอยู่ดี บางครั้งเราอาจจะเผลอทำบาปไปโดยไม่รู้ตัวและบาปนั้นอาจจะนำไปสู่ความตายได้ ทางศาสนาพุทธจึงมีพิธีกรรมหนึ่งที่จะช่วยต่ออายุของเราได้ นั่นเรียกว่า พิธีนอนโลงสะเดาะเคราะห์ ความเป็นมาของนอนโลงสะเดาะเคราะห์ ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ก่อนนั้นพระพุทธเจ้ามีคำสอนว่าห้ามพระสงฆ์รับจีวรจากญาติโยมทั้งหลาย จีวรที่พระสงฆ์ห่มส่วนใหญ่จึงมาจากผ้าเก่าๆ บ้างก็เป็นผ้าคลุมศพราคาถูกที่นำมาล้างทำความสะอาดแล้ว นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า บังสกุล ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า สกปรกและฝุ่น สื่อถึงจีวรพระสงฆ์สมัยก่อนที่ไม่ได้สะอาดเพราะนำผ้าไม่มีคุณภาพมาทำ แต่ในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนไป เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้พระสงฆ์ยอมรับของถวายเป็นจีวรแล้ว ผ้าบังสกุลจึงไม่ได้สกปรกตามความหมายของชื่ออีกต่อไป ในส่วนของผ้าบังสุกุลนี้มีความเกี่ยวข้องกับพิธีนอนโลงสะเดาะเคราะห์ โดยการทำพิธี จะแบ่งเป็นนอนโลงเป็นและนอนโลงตาย ซึ่งจะทำเฉพาะนอนโลงเป็นหรือนอนโลงตายก็ได้ หรือจะทำทั้งสองอย่างก็ได้เหมือนกัน การนอนโลงเป็นจะหันหัวโลงไปทางทิศเหนือ ส่วนนอนโลงตายจะหันไปทางทิศใต้ ญาติโยมที่มาทำพิธีจะต้องเตรียมดอกไม้ซึ่งนิยมใช้ดอกบัวเป็นหลักและธูปสีดำถือไว้ที่มือ จำลองว่าเป็นพิธีสวดศพของเรา จากนั้นนอนลงไปในโลง ในส่วนของโลงตายนั้นจะถูกบังสกุลด้วยผ้าห่อศพสีขาว ส่วนโลงเป็นจะถูกบังสกุลหรือเอาผ้ามาปิดไว้ที่โลงด้วยจีวรพระสีเหลือง บางแห่งนิยมให้นอนโลงตายก่อนจึงมานอนโลงเป็น โดยพระสงฆ์จะทำพิธีสวดแตกต่างกันในแต่ละโลง การทำเช่นนี้มีความเชื่อว่าเป็นการต่อชะตาอายุเสมือนว่าท่านได้ตายลงไปแล้วถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ บาปกรรมที่ทำไปจะลดน้อยลง อีกนัยหนึ่งก็เป็นกุศโลบายของทางพุทธศาสนา ให้คนเรามีสติระลึกอยู่เสมอว่า สักวันนึงก็ต้องตาย ฉะนั้นแล้วจงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและระลึกถึงการทำดีอยู่เสมอ เมื่อตายไปจะได้ไม่เสียใจ ปัจจุบันพิธีนอนโลงสะเดาะเคราะห์นั้น มีวัดดังรับทำอย่างแพร่หลาย บางวัดก็มีโลงแอร์ที่ต้องปิดฝาโลง บางวัดก็เป็นโลงที่สามารถนอนได้ 2-3 คนเลยทีเดียว ค่าทำพิธีก็ไม่แพง บางที่แล้วแต่จิตศรัทธา […]
มนุษย์หมาป่า อสูรกายกระหายเลือด

มนุษย์หมาป่า เป็นปีศาจกระหายเลือดตระกูลเดียวกับพวกแวมไพร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างคล้ายหมาป่าตามชื่อ บ้างก็ว่ามีขนตลอดทั้งตัว บางตำนานก็ว่ามีขนแค่ครึ่งตัว แต่ที่น่ากลัวคือมันมีเขี้ยวเล็บที่แหลมคม และภาระกำลังมากกว่าคนปกติหลายเท่า ทั้งยังมีความกระหายเลือด อยากกินของสด ดื่มเลือดและฉีกกระชากเนื้อคน แต่เราจะพบเห็นมนุษย์หมาป่าได้เฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น เพราะไม่นิยมออกล่าอย่างโจ่งแจ้ง มีความเชื่อที่ว่ามนุษย์หมาป่ายังสามารถแพร่เชื้อได้เหมือนกับพวกแวมไพร์ด้วย ความน่ากลัวของมนุษย์หมาป่า มนุษย์หมาป่าหลักๆแล้วจะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ‘แวร์วูฟ’ เป็นมนุษย์หมาป่าที่พวกเรารู้จักกันตามหนังต่างๆ แวร์ เป็นรากศัพท์ภาษาอังกฤษโบราณแปลว่า มนุษย์ ส่วนวูฟนั้นก็ตรงตัว คือ หมาป่า แวร์วูฟเป็นสิ่งชั่วร้ายที่เกิดจากคำสาป การทำพิธีคุณไสย หรืออาจจะเกิดจากการที่คนโดนแวร์วูฟกัดแล้วรอดชีวิตมาได้ โดยแวร์วูฟนั้น จะกลายล่างได้เฉพาะในคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น ลักษณะของแวร์วูฟจะเป็นเหมือนมนุษย์หมาป่าตามที่เราเห็นกันในหนัง ที่มีรูปร่างเหมือนคน ยืนสองขา มีเขี้ยวเล็บเหมือนหมาป่า แต่จะสามารถควบคุมสติตัวเองตอนกลายร่างได้ ตอนตื่นมาก็จะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แตกต่างจากมนุษย์หมาป่าประเภทที่สองอย่าง ‘ไลเคน’ ซึ่งเกิดจากคำสาปเช่นกัน แต่เป็นคำสาปที่มีมาอย่างยาวนาน โดยไลเคนนั้นจะเป็นมาตั้งแต่เกิด สืบทอดผ่านทางสายเลือด เป็นวงศ์ตระกูล ไลเคนสามารถเลือกที่จะแปลงร่างเมื่อไหร่ก็ได้ และแต่ตอนที่แปลงร่างจะมีสติสัมปชัญญะ มีความฉลาดแบบมนุษย์ทุกอย่าง อีกทั้งไลเคนยังมีพลังแวร์วูฟ รูปร่างใหญ่กว่า แต่มีลักษณะเด่น คือ หน้าที่สั้นกว่า ส่วนมนุษย์หมาป่าประเภทสุดท้าย คือ ‘ชิปเปอร์’ […]
อุชิโนะโคคุไมริ พิธีกรรมสาปแช่งสุดหลอนของชาวญี่ปุ่น

ไสยศาสตร์เป็นความเชื่อที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบเอเชียที่มีความเชื่อเรื่องศาสนาอย่างเข้มข้น ไสยศาสตร์หรือมนต์ดำที่เราได้ยินส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวกับมนต์เขมร แต่รู้หรือไม่ว่าในประเทศญี่ปุ่นเองก็มีความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน อย่างพิธีการสาปแช่งคนที่เกลียด เรียกว่า อุชิโนะโคคุไมริ ซึ่งมีความหมายว่า การไปเยือนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในยามฉลู เป็นการนับเวลาตามหลักนักษัตรของจีน เชื่อว่าเป็นเวลาที่ภูตผีถูกปล่อยออกมามากที่สุด อยากสาปแช่งให้สำเร็จต้องทำอย่างไร? พิธีการสาปแช่งจะประกอบขึ้นได้ที่บริเวณศาลเจ้าเท่านั้น โดยผู้ประกอบพิธีต้องจัดเตรียมอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายให้พร้อม ทั้งสวมใส่กิโมโนสีขาวล้วน ทำผมให้ดูกระเซอะกระเซิง ทาหน้าด้วยผงแป้งสีขาว สวมรองเท้าเกี๊ยะสูงที่มีฟันซี่เดียว บนหัวต้องสวมที่ตั้งเตาไฟสามขาซึ่งมีเทียนสามเล่มปักอยู่และจุดเทียนนั้นด้วย ส่วนตรงหน้าอกนั้นจะต้องติดกระจกเอาไว้ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อพรางตัวให้ดูเหมือนภูตผี เพื่อไม่ให้โดนทำร้ายเสียเอง ส่วนอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมนั้นมีตะปูที่มีความยาว 3 เซนติเมตรและค้อนสำหรับตอกตะปู อย่างสุดท้าย คือ หุ่นฟางที่เป็นตัวแทนของผู้ที่เราจะสาปแช่ง โดยในหุ่นฟางนั้นต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของคนๆนั้นอยู่ด้วย อาจจะเป็นเส้นผม เล็บ หรือเลือด บ้างก็ว่าเพียงแค่กระดาษที่เขียนชื่อของคนๆนั้นก็เพียงพอแล้ว ก่อนเวลาที่ทำวิธีนั้นว่ากันว่าเป็นเวลาตีสองจนถึงตีสองครึ่ง บางความเชื่อก็บอกว่าเป็นเวลาตีหนึ่งถึงตีสี่ เมื่อถึงเวลาให้นำหุ่นฟางไปที่ต้นไม้ใหญ่ของศาลจ้าวหรือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพวกเชือกหรือสัญลักษณ์ของศาลเจ้าผูกไว้ จากนั้นนำตะปูตอกลงหุ่นหางให้ติดอยู่กับต้นไม้ พร้อมทั้งนึกคำสาปแช่งไปด้วย วิธีนี้มีความยากและความซับซ้อน เรียกได้ว่าหากไม่มีแรงแค้นมหาศาลจริงๆก็คงไม่อดทนทำขนาดนี้ โดยความยากของพิธีกรรมอยู่ที่ผู้ทำพิธีต้องห้ามถูกพบเห็นระหว่างทำพิธีโดยเด็ดขาด และต้องทำพิธีต่อเนื่องกัน 7 วัน ห้ามขาดแม้แต่วันเดียว หากในระหว่างทำพิธีถูกพบเห็นเข้าต้องฆ่าผู้พบเห็นทันที มิเช่นนั้นอาถรรพ์จะย้อนมาทำร้ายตัวผู้สาปแช่งเอง แม้ว่าอุชิโนะโคคุไมริจะเป็นพิธีกรรมที่โหดร้าย แต่ในอดีตก็เคยมีคนทำจริง สืบเนื่องจากในสมัยเอโดะผู้คนไม่สามารถฆ่าแกงกันได้อย่างโจ่งแจ้ง จึงทำได้เพียงระบายความแค้นผ่านพิธีกรรมสาปแช่ง ตามวัดและศาลเจ้าชื่อดังต่างๆก็มีหุ่นฟางที่ถูกตอกตะปูอันเป็นร่องรอยของการทำพิธีอยู่ด้วย ซึ่งผลในการทำพิธีสำเร็จนั้น เชื่อว่าผู้ที่ถูกสาปจะถูกผีตามรังควานไปตลอดชีวิต บ้างก็ว่าอาจเกิดโชคร้ายถึงขั้นล้มตายได้ในที่สุด […]
เรื่องราวสยองของซอมบี้

หากพูดถึงหนังสยองขวัญที่มีศพเดินได้ หน้าตาเละ ร้องโหยหวน เดินกันเป็นฝูงใหญ่ กัดกระชาก ผู้คนจนเลือดสาด แล้วกินสมองเป็นอาหาร ทั้งยังแพร่เชื้อผ่านของเหลวในร่างกาย อย่างเลือดและน้ำลายได้ เมื่อโดนมันกัดหรือข่วนเข้าคุณเองก็อาจจะกลายเป็นพวกเดียวกับมัน ทุกคนคงจะนึกถึงซอมบี้ ซึ่งซอมบี้เป็นที่นิยมมากจนถูกนำไปสร้างเป็นหนัง นิยาย และการ์ตูนมากมาย แต่จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่า แท้จริงแล้วซอมบี้คืออะไร และมีจุดกำเนิดอย่างไรกันแน่ ต้นกำเนิดของซอมบี้ ตั้งแต่สมัยโบราณชาวกรีก มีความเชื่อว่า ศพสามารถลุกขึ้นมาจากหลุมได้ เมื่อมีคนตายจึงหาหินมาวางทับหลุมศพเอาไว้ เพราะกลัวว่าคนตายจะลุกขึ้นมาทำร้ายคนเป็น แต่ความเชื่อที่ทำให้ซอมบี้เป็นที่รู้จักมากที่สุดเริ่มต้นจากลัทธิวูดู ซึ่งผู้ที่เผยแพร่เรื่องซอมบี้ คือ ชาวเฮติ ที่นับถือลัทธิวูดู พวกเขาเชื่อว่าสามารถทำให้คนตายลุกขึ้นมาได้จริง โดยจุดประสงค์ที่จะให้คนตายลุกขึ้นมานั้น เพราะชาวเฮติเป็นประเทศยากจน ต้องใช้แรงงานคนเป็นจำนวนมาก มีการค้าทาสอย่างแพร่หลาย แน่นอนว่ายิ่งงานเยอะก็ไม่แปลกที่คนจะล้มตาย ทั้งสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น แรงงานชาวเฮติใช้ชีวิตร่วมกันอย่างแออัด ทำให้สุขอนามัยแย่และเกิดโรคระบาดขึ้น จนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก พ่อค้าทาสจึงคิดค้นวิธีที่จะทำให้ไม่สูญเสียแรงงานไป โดยการจ้างให้หมอผีปลุกศพคนตายขึ้นมาใช้แรงงานต่อ ซอมบี้ในสมัยเริ่มแรกนั้น จึงเปรียบเสมือนทาสรับใช้ของมนุษย์มากกว่าปีศาจแสนดุร้าย ชาวเฮติเชื่อเรื่องซอมบี้มากถึงขั้นที่ว่า หากมีญาติใครตายต้องไปนั่งเฝ้าเป็นเดือนๆจนศพสลาย เพราะกลัวหมอผีจะมาขุดศพไปทำเป็นซอมบี้ แต่แล้วความเชื่อเรื่องซอมบี้ถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลา ด้วยผลงานภาพยนตร์ชื่อดังที่ตีความซอมบี้ออกมาแตกต่างจากที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็น รุ่งอรุณแห่งความตาย ผีชีวะ เหมือนว่าการดัดแปลงให้ซอมบี้เกิดจากเชื้อโรคที่แพร่กระจายติดต่อกันได้ ดูจะน่ากลัวกว่าซอมบี้ที่เกิดจากการปลุกวิญญาณคนตายของหมอผี ซอมบี้ในรูปแบบของเชื้อโรคไวรัส จึงเป็นที่นิยมและคุ้นตามากกว่า ปัจจุบันเรื่องเล่าของซอมบี้ก็ถูกพิสูจน์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์แล้วว่า […]