โอะมะโมริ เครื่องรางแห่งความปรารถนา

โอะมะโมริ เครื่องรางแห่งความปรารถนา

โอะมะโมริหรือเครื่องรางญี่ปุ่น เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีให้เช่าบูชาอยู่ทุกวัดและศาลเจ้าในญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากศาสนาชินโตหรือพุทธดั้งเดิมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานว่าใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 คำว่า โอะมะโมริที่ใช้เรียกเครื่องรางกันนั้น มีความหมายว่า ปกป้อง คุ้มครอง กันภัย หรือก็คือเป็นเครื่องรางที่ใช้ในการปกปักษ์รักษาผู้บูชานั่นเอง  ลักษณะและวิธีใช้เครื่องรางญี่ปุ่น โอะมะโมริแต่ละที่ก็จะมีลักษณะแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ขนาดเล็ก เช่น พวกกระดาษ ไม้ ก้อนหิน ที่ได้รับการปลุกเสก แล้วนำมาใส่ถุงผ้าไหมแสนสวย พิธีปลุกเสกเครื่องรางจะถูกทำขึ้นโดยพระ เกจิอาจารย์หรือฆราวาสในวัด ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจะไม่สามารถเข้าไปรับชมพิธีได้ เครื่องรางของวัดและศาลเจ้านั้น จะมีความศักดิ์สิทธิ์แตกต่างกัน โดยเครื่องรางของวัดจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตศรัทธาความปรารถนาของคน แต่เครื่องรางจากศาลจ้าวจะมีเทพต่างๆสถิตอยู่ แต่ผลของเครื่องรางจะไม่เกิดหากผู้ใช้ไม่มีศรัทธาอันแรงกล้าและความเชื่อมั่นในเครื่องรางชิ้นนั้น โอะมะโมริแต่ละแบบจะช่วยส่งเสริมในด้านต่างๆ แตกต่างกันไป มีตั้งแต่ส่งเสริมเรื่องความรัก การเรียน การทำงาน เดินทางแคล้วคลาด โชคดี การเงิน ยังมีโอะมะโมริแปลกๆเฉพาะด้านอย่าง ช่วยป้องกันหมีไม่ให้มาทำร้ายเวลาเดินป่า ช่วยให้คนท้องคลอดอย่างปลอดภัย หรือแบบที่ช่วยป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ไอทีถูกทำลาย ส่วนวิธีการเก็บรักษาโอะมะโมริ ผู้บูชาสามารถพกติดตัวไปได้ตามแต่ลักษณะเสริมของโอะมะโมรินั้นๆ เช่น หากเสริมเรื่องการเงินก็เก็บไว้ในกระเป๋าตังค์ หรือจะคล้องไว้กับตัวตลอดเวลาก็ได้เช่นกัน ว่ากันว่าหากโอะมะโมริเริ่มสกปรกหรือพังห้ามทิ้งเป็นอันขาด เพราะนั่นแปลว่าโอะมะโมริได้ทำหน้าที่คุ้มครองเราหรือรับเคราะห์แทนไปแล้ว ควรขอบคุณและเก็บโอะมะโมริไว้จนกว่าจะครบรอบหนึ่งปีแล้วนำไปคืนที่ศาลจ้าว เพื่อให้ทำพิธีชำระล้างหรือเผาทิ้ง ในส่วนของการชำระล้างต้องทำที่ศาลเจ้าเท่านั้น หากคนธรรมดาเผาทิ้งเองจะถือว่าเป็นการปลดปล่อยโชคร้ายเข้าตัว มีข้อควรระวังอีกอย่าง คือ ห้ามเปิดถุงโอะมะโมริโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นความศักดิ์สิทธิ์จะหายไป […]

พระพิฆเนศ เทพแห่งศาสตร์ต่างๆ

พระพิฆเนศ เทพแห่งศาสตร์ต่างๆ

พระพิฆเนศเป็นบุตรของพระแม่อุมามเหสีของเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดบนสวรรค์อย่างพระศิวะ พระพิฆเนศนั้นถือกำเนิดมาจากขี้ไคลพระแม่อุมา โดยในตอนนั้นเพราะศิวะต้องออกไปทำธุระทำห้พระแม่อุมาอยู่คนเดียวรู้สึกเปล่าเปลี่ยว อยากได้คนเกื้อหนุนคอยรับใช้และรู้ใจ จึงตัดสินใจเสกสร้างพระพิฆเนศขึ้นมาเป็นบุตรของตน พระพิฆเนศนั้นเป็นเด็กดีและเฉลียวฉลาดเชื่อฟังพระแม่อุมาทุกคำ ในวันที่พระศิวะกลับมาพระแม่อุมากำลังอาบน้ำอยู่และสั่งให้พระพิฆเนศไปเฝ้าหน้าประตูไว้ห้ามให้ใครเข้ามารบกวน เมื่อพระศิวะจะเข้ามาหาพระอุมา จึงถูกพระพิฆเนศขวางไว้ เกิดการต่อสู้ขึ้น แน่นอนว่าพระศิวะเป็นผู้ชนะและตัดศีรษะของพระพิฆเนศหลุด เมื่อพระแม่อุมากลับมาเห็นว่าลูกรักของตนถึงแก่ความตายก็โกรธเกรี้ยวมาก พระศิวะจึงสั่งให้ผู้ใต้บัญชาของตนออกตะเวนหาสัตว์ชนิดใดก็ได้ทางทิศเหนือ เมื่อเจอสัตว์ใดเป็นตัวแรกก็ให้นำศีรษะของสัตว์ตัวนั้นกลับมาก่อนตะวันตกดิน ผู้ใต้บัญชาของพระศิวะกลับมาพร้อมกับศีรษะของลูกช้างพระศิวะจึงทำการต่อศรีษะลูกช้างเข้ากับหัวของพระพิฆเนศ ด้วยเหตุนี้พระพิฆเนศจึงมีเศียรเป็นช้างและตัวเป็นคน เหตุใดผู้คนจึงเคารพบูชาพระพิฆเนศ พระพิฆเนศเป็นตัวแทนของความรู้ในศาสตร์ต่างๆ เนื่องจากพระองค์มีความเฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากตอนที่แข่งขันเดินทางรอบโลกพระพิฆเนศสามารถชนะคู่แข่งได้โดยการเดินรอบบิดาและมารดาของตน โดยให้เหตุผลว่าบิดามารดาคือโลกทั้งใบของบุตร ด้วยเหตุนี้พระพิฆเนศจึงเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญูด้วย การบูชาพระพิฆเนศนั้นให้จุดธูป 16 ดอกและท่องคาถาจากนั้นให้นำองค์พระพิฆเนศวางไว้บนหิ้งพระ แยกต่างหากจากหิ้งพระของพระพุทธรูป เนื่องจากพระพิฆเนศนั้นเป็นที่นับถือของศาสนาฮินดู และเพื่อไม่ให้เป็นการเปรียบเทียบว่าองค์ใดสูงกว่า ของพี่พระพิฆเนศโปรดปรานจะให้ถวาย ที่ขาดไม่ได้เลยต้องเป็นของสีแดง อย่างดอกไม้และผลไม้สีแดง ผงจันสีแดง และเครื่องบูชาอื่นๆ เนื่องจากท่านนั้นมีเนื้อตัวสีแดงตามตำนาน อีกทั้งของที่ถวายนั้นต้องเป็นพืช ห้ามถวายเนื้อสัตว์ของข้าวเด็ดขาด นอกจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือธูปหอมหรือกำยาน เพราะกำยานนั้นเป็นสิ่งที่ใช้สื่อสารติดต่อระหว่างเทพและผู้ที่บูชา โดยผู้ที่บูชานั้นต้องทำการเซ่นไหว้และอธิฐานเป็นประจำทุกวันจนกว่าคำอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิ์ผล หากไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะเซ่นไหว้บูชาของมากมาย จะบูชาเพียงน้ำเปล่าก็ได้ ขอเพียงแค่มีจิตศรัทธาก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้สมตามปรารถนาก็ต้องทำการตอบแทนท่านด้วยสิ่งที่สัญญาไว้ ถ้าผิดคำพูดครั้งต่อไปก็จะไม่สัมฤทธิ์ผลอีก พระพิฆเนศเป็นเทพที่มีความศักดิ์สิทธิ์และคนส่วนใหญ่นับถือไม่ว่าจะศาสนาใด เพราะเชื่อว่าสามารถดลบันดาลให้เป็นจริงได้ทุกคำปรารถนา โดยเฉพาะในด้านการค้าขายก็ทำให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามาแล้วหลายราย โดยพระพิฆเนศนั้นจะมีให้เลือกบูชากันถึงเจ็ดปางแต่ละปางก็จะมีสรรพคุณต่างกันไป สำหรับใครที่สนใจแบบไหนก็สามารถไปศึกษาต่อกันเองได้ และผู้เขียนเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นปางไหนหรือเทพองค์ใดขอเพียงแค่มีจิตศรัทธา ปาฏิหาริย์ก็ย่อมบังเกิดได้ทั้งนั้น #พระพิฆเนศ #ตำนานความเชื่อ #เรื่องลี้ลับ

ผ้ายันต์ ตำนานอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่มีมากว่าพันปี

ผ้ายันต์ ตำนานอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่มีมากว่าพันปี

ผ้ายันต์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเชื่อนมนานมากว่า 1000 ปี โดยผ้ายันต์นั้นเป็นอักษรที่ถูกสลักลงบนวัสดุหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผ้าลินิน ผ้าดิบ ผ้าห่อศพ จีวร หรือผ้าชนิดต่างๆ ที่เห็นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผ้าสีเหลือง สีแดง และสีดำ โดยกรรมวิธีทำผ้ายันต์นั้น ผู้มีอาคมหรือชาวบ้านทั่วไปที่รู้ภาษาและคาถาที่ใช้ลงยันต์ จะทำการเอาหมึกไปผสมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไม้กฤษณา ไม้จันทน์ ไม้ตะเคียน น้ำมันหอม ว่าน 108 ชนิด ชิ้นส่วนของสัตว์ใหญ่ สัตว์ดุร้าย อย่างเขี้ยวเสือ ดีหมี ดีงูเห่า เขี้ยวช้าง มาบดผสมลงกับหมึกจีน จากนั้นเขียนลงบนผ้ายันต์ โดยขณะเขียนนั้นจะทำการบริกรรมคาถาไปด้วย ความศักดิ์สิทธิ์ของผ้ายันต์ ผ้ายันต์ถือเป็นเครื่องรางของขลังทางพุทธคุณ ดังนั้นจึงน้อยมากที่จะมีการทำผ้ายันต์ โดยนำของอัปมงคลผสมลงไป โดยส่วนใหญ่แล้วอักขระที่ถูกลงบนผ้ายันต์นั้น จะเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ส่วนที่มาของอักษรบนผ้ายันต์เป็นอักษรขอมและเขมร ซึ่งถูกเอาไปแปลเป็นภาษาบาลีอีกที และนำมาลงบนผ้ายันต์ โดยเป็นคำย่อของบทสวดมนตร์ต่างๆที่เรารู้จักกันดี ส่วนรูปแบบของผ้ายันต์ส่วนใหญ่จะเรียงกันเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสามเหลี่ยมที่สื่อถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือทำขึ้นเพื่อเลียนแบบยอดเจดีย์ สี่เหลี่ยมสื่อถึงธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ วงกลมหมายถึงพระอาทิตย์ซึ่งเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังมีการวาดเป็นรูปเทพหรือบุคคลต่างๆที่เรานับถือ […]

สายสิญจน์ เส้นด้ายคุ้มภัย

สายสิญจน์ เส้นด้ายคุ้มภัย

สายสิญจน์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเชื่อมาจากศาสนาพราหมณ์ ทางพราหมณ์ไทยจะเรียกว่า สายธุรำ ส่วนพราหมณ์ฮินดูเรียกสายสิญจน์ว่า ยัชโญปวีต ซึ่งในสมัยก่อนพราหมณ์เป็นชนชั้นวรรณะสูง มีฐานะเป็นอาจารย์ของทุกวรรณะ แต่ละวรรณะต้องเข้าไปศึกษาฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับพราหมณ์ โดยวิธีการฝากตัวเป็นศิษย์ พราหมณ์จะเอาสายสิญจน์ไปคล้องตัวลูกศิษย์พาดไหล่เป็นแนวเฉียง อีกทั้งสายสิญจน์ยังเป็นสิ่งที่มักจะใช้ในพิธีอันเป็นสิริมงคล ซึ่งต้องมีการพรมน้ำมนต์และสวดคาถาในพิธีควบคู่กันไปด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อสายสิญจน์ โดยสิญจน์ แปลว่า การเทน้ำ ซึ่งในที่นี้หมายถึงน้ำมนต์ สายสิญจน์จึงหมายถึง สายที่นำมาโยงเพื่อใช้ในพิธีรดน้ำ การใช้สายสิญจน์ในงานบุญต่างๆ สายสิญจน์ส่วนใหญ่จะทำมาจากผ้าดิบ หากเป็นสายสิญจน์ในงานมงคลจะใช้ทบกันเป็นเก้าเส้น หากเป็นงานอัปมงคลอย่างงานศพจะใช้เพียงสามเส้นเท่านั้น โดยการโยงสายสิญจน์นั้นต้องนำมาโยงวนที่พระพุทธรูปสามรอบ ตามเข็มนาฬิกาหรือทางขวา เมื่อครบสามรอบแล้วให้เรานำสายสิญจน์วนรอบพื้นที่ทำพิธี จนวนกลับมาที่โต๊ะหมู่บูชาเพื่อให้พระสงฆ์ถือไว้ขณะสวดทำพิธี สายสิญจน์เป็นการกั้นอาณาเขตว่าขณะนี้ในพื้นที่ภายในสายสิญจน์นั้นมีการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผู้ที่เข้ามาต้องสำรวมและระลึกถึงพระพุทธเจ้า โดยสายสิญจน์เป็นตัวแทนของเขตแดนที่ถูกผูกโยงกับพระพุทธรูป ดังนั้นจึงสามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าหากทำอะไรก็ต้องเกรงใจและมีจิตสำนึกบ้าง ด้วยเหตุนี้สายสิญจน์จึงถูกเรียกด้วยอีกชื่อหนึ่ง คือ สายปริตร ปริตร แปลว่า เครื่องป้องกัน สิ่งที่ไม่ควรทำต่อสายสิญจน์ เช่น การก้าวข้าม เหมือนแม่นาคในเรื่องเล่าสมัยโบราณ จึงเป็นบาปมหันต์ จะย่ำยีหรือนำสิ่งโสมมมาแปดเปื้อนก็ไม่ได้ สายสิญจน์ยังสามารถใช้วัสดุอื่นทำทดแทนได้ เช่น ผ้า ก็จะถูกเรียกว่า สายโยงแทนสายสิญจน์ แต่ก็มีผลในการใช้เหมือนกันหรือหากเป็นผ้าโยง สายโยงที่ผูกไว้ ในพิธีศพก็จะถูกเรียกว่า ภูษาโยง นอกจากนี้สายสิญจน์ยังถูกใช้โดยผู้เฒ่าผู้แก่หรือบุคคลผู้มีอาวุโสในการทำขวัญในพิธีต่างๆ เช่น […]

ลูกประคำ ของขลังเสริมสร้างสมาธิ

ลูกประคำ ของขลังเสริมสร้างสมาธิ

หากพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามักจะเห็นจากหนังกำลังภายใน หรือตามหนังผีไทยโบราณคงหนีไม่พ้นลูกประคำ ลูกประคำนั้นมีที่มาเก่าแก่หลายพันปี นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีการสร้างลูกประคำดาบปราบหงส์เสาวดีเพื่อถวายแก่สมเด็จพระนเรวรด้วย โดยลูกประคำนั้น สมัยก่อนทำมาจากวัสดุศักดิ์สิทธิ์ 3อย่าง คือ กะลามะพร้าวตาเดียว งาช้างและเขี้ยวหมู หรือจะใช้ไม้ประเภทต่างๆ เช่น ไม้ต้นโพธิ์ ไม้ขนุน ไม้จันทร์ ไม้กฤษณา ไม้ชุมแสงโทน ไม้หนาด นำส่วนผสมทั้งหมดมาบดรวมกันและปั้นเป็นเม็ดลูกประคำ ร้อยเข้าด้วยกัน 108 เม็ด จากนั้นสวดพุทธคุณ 56จบ ธรรมคุณ 38 จบ สังฆคุณ 14 จบ รวมเป็น 108 จบ เป็นอันเสร็จพิธี สำหรับชาวบ้านทั่วไปที่ต้องการทำลูกประคำหรือเพิ่งฝึกทำใหม่ๆ สามารถทำขึ้นมาจากดินเหนียวก่อนก็ได้ จุดกำเนิดของลูกประคำ ลูกประคำเป็นเครื่องรางของขลังสายพุทธคุณ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อระลึกคำสอน 108 อย่างของพระพุทธเจ้า โดยมีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งที่พระสงฆ์ในศาสนาพุทธได้ไปเผยแพร่ศาสนาที่มอญ ที่นั่นมีฤาษี 3 ตน ฝึกบำเพ็ญบารมีมานานและไม่เคยรู้จักศาสนาพุทธมาก่อน ฤาษีทั้งสามสงสัยว่า ทำไมพระสงฆ์นั้นมีลักษณะแตกต่างจากคนทั่วไปขนาดนี้ ทั้งท่าทางดูน่าเลื่อมใส ผิวพรรณดี สวมจีวรสีแตกต่างจากตนจึงได้ลองสนทนาดูก็พบว่าศาสนาพุทธนั้นมีความหน้าเลื่อมใส คำสอนของพระพุทธเจ้าเองก็น่าจดจำและนำไปปรับใช้ เมื่อถึงวันที่พระสงฆ์ต้องกลับ ฤาษีทั้งสามได้ขอสร้างสิ่งที่ระลึกไว้ใช้จดจำคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างลูกประคำ ซึ่งมีทั้งหมด […]

ดีจริงต้องบอกต่อ ไอ้ไข่ สิ่งศักสิทธิ์ยอดฮิตประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช

ดีจริงต้องบอกต่อ ไอ้ไข่ สิ่งศักสิทธิ์ยอดฮิตประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช

หากพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้ ต้องขอยกให้ไอ้ไข่วัดเจดีย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จู่ๆ ก็เกิดบูมขึ้นมาในวงการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับจตุคามรามเทพที่เป็นที่นิยมในช่วงหนึ่ง ผู้คนก็ต่างมาแห่แหนแวะเวียนไหว้ไอ้ไข่กันมากมาย จนพลอยทำให้เศรษฐกิจของนครศรีธรรมราชดีขึ้นไปด้วย อีกนัยหนึ่งอาจไม่ใช่เพียงเพราะกระแสความโด่งดังเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนตามมากราบไหว้ แต่เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของไอ้ไข่ที่ทำให้มีผู้คนสมปรารถนามากมายจริงๆ กระแสความดังของไอ้ไข่จึงไม่มีวี่แววว่าจะทุเลาลงเลย ไอ้ไข่คือใคร ทำไมต้องกราบไหว้ ไอ้ไข่ตามตำนานแล้ว มีอยู่สามเรื่องเล่า คือ เป็นเด็กลูกชาวบ้านธรรมดาที่ชอบมาวิ่งเล่นแถววัดเจดีย์  เมื่อตายไปจึงผูกพันกับที่วัดและกลายเป็นวิญญาณปกปักษ์รักษาที่นี่ ส่วนเรื่องเล่าที่สองบอกว่า เป็นวิญญาณผีเด็กอายุ 9-10 ขวบ ที่คอยตามหลวงปู่ทวดไปทุกที่ เมื่อหลวงปู่ทวดได้ธุดงค์มาจนถึงวัดพระเจดีย์ หลวงปู่ทวดเห็นว่า ที่นี่มีสมบัติเยอะมาก อาจรุ่งโรจน์ในอนาคต จึงให้ไอ้ไข่คอยเฝ้าปกปักษ์รักษาที่นี่ไว้ ส่วนอีกเรื่องคือ ไอ้ไข่เป็นเด็กวัดที่คอยตามหลวงปู่ทวดไปทุกที่ แต่เมื่อมาถึงที่วัดเจดีย์ไอ้ไข่ก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยการกระโดดลงแม่น้ำ เพราะอยากจะคอยปกปักษ์รักษาวัดแห่งนี้ตลอดไป ส่วนชื่อไอ้ไข่นั้นเป็นคำเรียกของชาวภาคใต้ที่ใช้เรียกเด็กชาย เนื่องจากกระแสของไอ้ไข่โด่งดังมาก ทำให้มีการสร้างไอ้ไข่ขึ้นที่วัดอื่นๆด้วย และแต่ละที่ก็ต่างมีคนมากราบไหว้บูชามากมาย โดยที่วัดต้นตำรับอย่างวัดพระเจดีย์นั้น มีผู้คนมาแวะเวียนมากมาย อีกทั้งยังมีของแก้บนไอ้ไข่ที่ชาวบ้านนำมาถวายจนกองเป็นภูเขาลังกากินพื้นที่ไปหลายไร่ โดยไอ้ไข่นั้นชื่นชอบการจุดประทัดและไก่เป็นพิเศษ ของที่นิยมนำมาถวายไอ้ไข่จึงมักเป็นสองสิ่งนี้ ส่วนอย่างอื่นก็จะเป็นพวกขนมนมเนยแบบที่เด็กๆชอบ ล่าสุดก็มีข่าวหนึ่งบอกว่าไอ้ไข่ไปเข้าฝันบอกว่า ช่วงนี้ชอบอเวนเจอร์ทางวัดจึงเต็มไปด้วยหุ่นซุปเปอร์ฮีโร่มากมายที่ผู้มีจิตศรัทธาเอามาถวาย จุดเริ่มต้นความโด่งดังของไอ้ไข่นั้นแท้จริงแล้ว มีชาวบ้านกราบไหว้ไอ้ไข่มานาน ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วัวหาย เมื่อไปขอไอ้ไข่ทีไรก็ตามหาเจอตลอด แต่มาบูมมากๆช่วงที่มีนักเขียนในวงการสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งที่เคยเขียนเรื่องจตุคามรามเทพจนมีชื่อเสียงโด่งดัง มาเขียนเรื่องเกี่ยวกับไอ้ไข่ทำให้ชาวบ้านตามไปกราบไหว้ตามกระแส นอกจากไอ้ไข่จะเป็นรูปปั้นที่ตั้งอยู่ตามวัดต่างๆแล้ว ยังมีการทำไอ้ไข่ในรูปแบบของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นหุ่นปั้นวางไว้บูชาที่บ้านได้ โดยวิธีการบูชานั้นให้วางไอ้ไข่ไว้บนหิ้งพระแต่ต้องต่ำกว่าพระพุทธรูป สามารถถวายขนมนมเนยเช่นเดียวกับการเลี้ยงกุมารทอง […]

อากาศสดใสได้ดั่งใจด้วยตุ๊กตาไล่ฝน

อากาศสดใสได้ดั่งใจด้วยตุ๊กตาไล่ฝน

ดินฟ้าอากาศเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ต่างมีผู้คนมากมายพยายามจะคิดค้นสิ่งที่ทำให้ดินฟ้าอากาศเป็นไปดั่งใจได้อยู่บ่อยครั้ง ตุ๊กตาไล่ฝนก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยความเชื่อของตุ๊กตาไล่ฝนแรกเริ่มเดิมทีมาจากจีน ตามตำนานของหญิงสาวฟ้าสดใสที่มาพร้อมกับไม่กวาดปัดไล่เมฆฝนออกไป ซึ่งภายหลังถูกนำมาดัดแปลงเป็นความเชื่อแบบญี่ปุ่น โดยเรื่องเล่าของญี่ปุ่นนั้นมีความโหดร้ายอยู่พอสมควร ในเรื่องเล่าว่า มีพระสงฆ์องค์หนึ่งที่สามารถขับไร่เมฆฝนได้ จึงถูกท่านโชกุนเชิญให้ไปทำพิธีไล่ฝน แต่ทำไม่สำเร็จ โชกุนจึงตัดคอพระ เอาหัวห่อใส่ผ้าขาวและจับแขวนประจานไว้ บางตำนานก็บอกว่าพระสงฆ์องค์นั้นถูกผ้าห่อศพสีขาวห่อไว้ทั้งตัวและผูกคอแขวนประจานไว้หน้าเมือง แต่ทันทีที่ศพของพระสงฆ์ถูกแขวนฝนก็หยุดตกทันที จึงเป็นตำนานที่เชื่อต่อๆกันมาว่า หากแขวนศพของพระไว้จะช่วยไล่ฝนได้ แต่จะให้หาศพของพระมาแขวนทุกครั้งเพื่อให้ฝนหยุดตกก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชาวบ้านจึงทำตุ๊กตาไล่ฝนขึ้น วิธีทำและวิธีใช้ตุ๊กตาไล่ฝน ตุ๊กตาไล่ฝนหรือในภาษาญี่ปุ่น ‘เทรุเทรุ โบซุ’ เทรุ แปลว่า อากาศแจ่มใส ส่วนโบซุ แปลว่า หัวล้านหรือหมายถึงพระตามตำนาน วิธีทำตุ๊กตาไล่ฝนก็มักจะหยิบของใกล้ตัวมาใช้ อย่างของที่เป็นทรงกลมหรือจะเอาอะไรมาม้วนให้เป็นก้อนกลมๆก็ได้ แล้วเอาผ้าขาวมาห่อคลุมก้อนกลมนั้นไว้ มัดด้วยเชือกแล้วนำไปแขวนเป็นตุ๊กตาไล่ฝน และวาดหน้าตาตามใจชอบ ตุ๊กตาไล่ฝนมักจะมีบทบาทในช่วงหน้าฝน เนื่องจากในประเทศญี่ปุ่นเวลาที่ฝนตกจะตกแบบกระปิดกระปอยตลอดทั้งวัน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางและการตากผ้าหรือบางครั้งเมื่อมีโอกาสพิเศษ เช่น เดท ออกเดินทาง งานกีฬาสี หรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่อยากให้ฝนมาเป็นอุปสรรค ชาวญี่ปุ่นก็จะทำตุ๊กตาไล่ฝนแขวนดักไว้ก่อน ซึ่งก็มักจะแขวนไว้ที่บริเวณหน้าบ้าน ริมหน้าต่าง ตรงระเบียง และบอกตุ๊กตาไล่ฝนว่า ขอให้พรุ่งนี้ฝนไม่ตก หากว่าตุ๊กตาไล่ฝนทำหน้าที่สำเร็จ ก็ให้เราเอากระดิ่งมาคล้องไว้คอตุ๊กตาไล่ฝนเพื่อเป็นการขอบคุณหรือจะนำสาเกมาถวายให้ก็ได้ นอกจากทำให้ฝนหยุดตกแล้ว เรายังสามารถใช้ในทางกลับกันได้ คือใช้ตุ๊กตาไล่ฝนทำให้ฝนตก ในกรณีที่ไม่อยากไปโรงเรียนหรือชาวนาที่ต้องการน้ำในการทำนามากๆ ก็ให้แขวนตุ๊กตาไล่ฝนกลับหัวหรือเอาสีดำป้ายหน้าตุ๊กตาทำให้เสื่อมอำนาจไล่ฝน […]

หยกแบบไหนที่เหมาะกับตัวคุณ

หยกแบบไหนที่เหมาะกับตัวคุณ

หยกเป็นเครื่องรางที่มีความเชื่อยาวนานมาจากประเทศจีน โดยคนไทยเองก็ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของหยกด้วย โดยแต่เดิมคนจีนเชื่อว่าหยกเป็นอัญมณีสวรรค์ จะมอบคุณให้แก่ผู้ที่พกติดตัว ซึ่งสรรพคุณก็มีมากมาย ทั้งช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีความสุข พ้นภัย กินดีอยู่ดีและร่ำรวย ชาวจีนสมัยก่อนมักจะพกหยกเป็นเครื่องรางเสมอ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหนในสังคม ตั้งแต่พระราชาไปจนถึงเด็กชาวบ้านธรรมดา เมื่อตายแล้วหยกที่คนๆนั้นพกจะถูกฟังไปพร้อมศพด้วย โดยพวกเขาเชื่อว่าหยกจะทำให้ศพไม่เน่าเละ เพราะเต็มไปด้วยพลังหยิน หยกที่ดีต้องเป็นอย่างไร? หยกที่นิยมที่สุดคือหยกเขียว ซึ่งมีสีเขียวสดเหมือนสีใบไม้ในฤดูร้อน หยกสีเขียวเข้มจัดแบบนี้หายากมากและมีราคาสูง หลายคนจะเรียกหยกเขียวว่า หยกกษัตริย์ เป็นหยกที่เชื่อว่าจะทำให้มีโชคด้านการเงิน ส่วนหยกสีอื่นนั้นก็มีพลังในด้านบวกแตกต่างกัน ดังนี้  1.หยกสีขาว ช่วยให้มีอายุยืน 2.หยกสีน้ำตาล หรือหยกโทนออกสีแดง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า หยกเลือด ช่วยเพิ่มพลังอำนาจ 3.หยกสีเขียวอ่อน ถูกเรียกว่าหยกสี่แอปเปิ้ลเขียว มีสรรพคุณเหมือนหยกสีเขียวสดเข้ม แต่จะมีพลังอำนาจน้อยกว่า  4.หยกสีดำ ทำให้มีความอดทน ถึกทนมากขึ้น 5.หยกสีม่วง หรือสีลาเวนเดอร์ ช่วยในการควบคุมอารมณ์  6.หยกสีเหลือง ช่วยนำทางให้พบเจอกับสิ่งที่ถูกต้อง  7.หยกสีฟ้า ทำให้เกิดความสงบสุข 8.หยกที่มีหลายสีอยู่ในเนื้อเดียวกัน จะช่วยในเรื่องโชคลาภวาสนา อีกส่วนหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณานอกจากสี คือ ความใสของหยก หยกแท้จะมีความใสถึงขนาดที่ว่าสามารถมองทะลุผ่านตัวหยกได้ เมื่อจุดไฟมองจะเห็นถึงความเนียนไม่ขุ่นหมอง ยิ่งถ้าหยกเป็นเนื้อเดียวกันสีเสมอกันจะยิ่งมีราคาสูง ส่วนเรื่องตำหนิยิ่งน้อยยิ่งดี แม้จะเป็นปกติที่หยกตามธรรมชาติจะมีตำหนิบ้าง […]

สาริกาลิ้นทอง คุณไสยเสริมเสน่ห์ด้านวาทะศิลป์

สาริกาลิ้นทอง คุณไสยเสริมเสน่ห์ด้านวาทะศิลป์

สาริกาลิ้นทอง เป็นการทำเสน่ห์อย่างหนึ่ง และเป็นเครื่องรางคุณไสย ที่มีวิธีปลุกเสกแปลกประหลาดอยู่พอสมควร โดยสาริกาลิ้นทองจะมีด้วยกันสามแบบ คือ แบบสักน้ำมันลงบนตัวผู้บูชา แบบเป็นหุ่นเครื่องรางพกติดตัว และแบบสีผึ้งเอาไว้ใช้ทาที่ริมฝีปากเหมือนลิปสติก โดยผู้ที่บูชาสาริกาลิ้นทองส่วนใหญ่จะเป็นหญิง แต่หากผู้ชายต้องการบูชาเพื่อช่วยในการทำมาค้าขาย และเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็สามารถทำได้เช่นกัน สาริกาลิ้นทองทั้ง 3 แบบและวิธีการบูชา อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกว่าสาริกาลิ้นทองมีด้วยกัน 3 แบบ แบบแรกคือ การสักน้ำมันลงบนตัวผู้บูชา ซึ่งจะสามารถทำได้โดยให้ผู้บูชากับผู้มีอาคมลงไปในโรงผีตายโหงโรงเดียวกัน และสถานที่ทำพิธีต้องเป็นในป่าช้า ให้ผู้มีอาคมสักน้ำมันลงบนตัวผู้บูชาและท่องคาถาไปด้วยจนกว่าจะมีนกสาริกาลงมาเกาะขอบโลง  โดยพิธีจะเสร็จสิ้นลงเมื่อนกสาลิกาได้บินจากไป หรือจะสักน้ำมันลงบนฟันหรือลิ้นของผู้บูชาก็ได้ โดยการสักลงบนลิ้นและฟันไม่จำเป็นต้องทำในโลงศพและสุสานตามพิธีดังกล่าว เพราะปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่จะทำพิธีตามแบบดั้งเดิมนั้นได้ สาริกาแบบที่สองคือเครื่องราง โดยหมอผีหรืออาจารย์ผู้มีอาคมจะแกะสลักเป็นตัวนกสาลิกาโดยทำจากวัสดุต่างๆ จากนั้นให้นำไปปลุกเสกในป่าลึกท่องคาถาอาคมตั้งจิตอธิฐานจนกว่าจะเกิดเป็นภาพที่เห็นว่าตัวนกสาริกาแกะสลักนั้น สามารถขยับได้เหมือนนกสาริกาที่มีชีวิตจริงๆ ส่วนแบบสุดท้ายคือสีผึ้ง พระอาจารย์ที่ปลุกเสกต้องนำขี้ผึ้งและน้ำมันหอมมาผสมกันให้ละลายจนเป็นขี้ผึ้ง โดยห้ามใช้ไฟ แต่ให้ตั้งจิตอธิฐานใช้อาคมเพ่งพลังจนขี้ผึ้งและน้ำมันหอมละลายเข้ารวมกัน พร้อมทั้งท่องคาถาให้เกิดเสน่ห์แก่ผู้บูชาด้วย ส่วนวิธีการบูชาสาริกาลิ้นทองแบบขี้ผึ้งก็เพียงแค่ท่องคาถาและทาที่ริมฝีปากวันละครั้ง หรือเมื่อต้องการจะให้สาริกาลิ้นทองสำแดงฤทธิ์ ส่วนแบบอื่นวิธีการบูชาก็เพียงแค่ให้นำพกไว้ติดตัว แต่มีข้อห้ามที่ค่อนข้างจุกจิกอยู่บ้างคือ ห้ามนำไว้ปลายเท้า หรือที่ที่เท้าชี้ไปหา ห้ามจิบน้ำร่วมแก้วกับผู้อื่น ห้ามพูดจาให้ร้ายผู้อื่น อย่าติฉินนินทา ห้ามถ่มน้ำลายลงโถส้วมหรือบนพื้น ห้ามรอดราวผ้า และห้ามให้ใครเล่นหัว ส่วนวิธีบูชาต้องนำน้ำและผลไม้หนึ่งอย่างมาถวายทุกวันพระ อย่าลืมท่องคาถาทุกวัน สาริกาลิ้นทองทำให้ผู้ที่บูชาได้เป็นที่รัก ค้าขายดี พูดจาน่าเชื่อถือ ใครก็ต่างชื่นชมคำพูดคำจา โดยเริ่มแรกแล้วสาริกาลิ้นทองมีความเชื่อมาจาก […]

เครื่องรางจากญี่ปุ่น ตุ๊กตาแห่งความหวังดารุมะ

เครื่องรางจากญี่ปุ่น ตุ๊กตาแห่งความหวังดารุมะ

ดารุมะเป็นเครื่องรางของประเทศญี่ปุ่นที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน โดยจุดเริ่มต้นของดารุมะ ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากบุคคลทางประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนอยู่จริงอย่างพระอรหันต์ของทางอินเดียคนหนึ่งที่ชื่อว่าพระดารุมะ มีหน้าตาท่าทางดุดันเหมือนกับตัวดารุมะที่เราเห็นกันในปัจจุบัน โดยพระดารุมะเป็นพระที่เคร่งในการปฏิบัติธรรมมาก นั่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่เดิมนานเป็นเวลา 9 ปีจนมือเท้าเริ่มเปื่อย แต่ในระหว่างปฏิบัติธรรมดันเผลอหลับ ทำให้พระดารุมะเกลียดตัวเองมากจนถึงขั้นตัดเปลือกตาบนของตัวเองออก เป็นที่มาของดวงตากลมโตที่เราเห็นกันจากดารุมะ วิธีขอพรจากดารุมะ ลักษณะของดารุมะส่วนใหญ่จะแตกต่างกันไปตามวัดที่สร้างขึ้น ดารุมะดั้งเดิมนั้นว่ากันว่าหน้าตาของดารุมะมีนัยยะแฝงอยู่ คือ คิ้วเป็นเหมือนกับรูปทรงนกกระยาง ส่วนเคราเป็นรูปทรงคล้ายเต่า ทั้งนกกระยางและเต่าเป็นสัญลักษณ์ของความยั่งยืนและสงบสุข ส่วนข้างล่างคางดารุมะจะเป็นคำในภาษาญี่ปุ่นที่สื่อความหมายในทางที่ดี เช่น ร่ำรวย เรียนดี รักสมหวัง รูปร่างดารุมะจะตัวกลมๆคล้าายตุ๊กตาล้มลุก ด้านล่างจะหนักส่วนด้านบนจะโปร่งโล่ง ทำให้เมื่อผลักดารุมะล้มตัวดารุมะจะลุกขึ้นมาได้เองอีกครั้ง เป็นคติธรรมที่บอกว่าขนาดดารุมะยังลุกขึ้นมาได้ ชีวิตคนเราก็ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ได้เช่นกัน ภาพลักษณ์ของตุ๊กตาดารุมะเป็นตุ๊กตาแห่งความหวังและความพยายามเช่นเดียวกับพระดารุมะในตำนานที่มีความบากบั่นในการปฏิบัติติธรรม ตุ๊กตาดารุมะที่เราเห็นกันมักจะเป็นตัวที่มีตาดำข้างในแล้ว แต่ที่ทำขายกันตามศาลเจ้าจะมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำด้านใน เพราะถูกออกแบบมาให้ผู้เป็นเจ้าของววาดดวงตาขึ้นมาเอง โดยวิธีการขอพรดารุมะ ให้เราอธิษฐานแล้ววาดตาดำข้างหนึ่ง จากนั้นวางไว้บนหิ้งบูชาจนกว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงจึงวาดตาดำอีกข้างหนึ่ง ดารุมะจะมีอายุการใช้งานหนึ่งปี แม้ว่าพรจะสำเร็จหรือไม่เราก็ต้องเอาดารุมะออกไปเผาหรือไปฝากไว้ที่ศาลเจ้าที่เราซื้อมา หากใครไม่สะดวกก็มีบริการทางไปรษณีย์ให้ แต่แนะนำว่าไม่ควรโยนทิ้งหรือเผาเอง เพราะสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วดารุมะถือเป็นของสูงพอๆกับพระเครื่อง หากจะทำลายต้องนำไปทำตามพิธีอย่างถูกต้อง โดยเทศกาลเผาดารุมะจะจัดขึ้นปีละครั้งที่วัดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น จากที่เราเห็นกันดารุมะก็จะมีหลากหลายสี แต่ที่นิยมที่สุดคือ สีแดง เพราะเป็นสีที่อ้างอิงมาจากจีวรของพระดารุมะ  แต่ละสีก็จะมีความหมายส่งเสริมในแต่ละด้านแตกต่างกันออกไป อย่างสีดำเป็นสีแห่งความอมตะ ส่งเสริมด้านความทนทานทางร่างกาย ให้ร่างกายแข็งแรง คลอดบุตรปลอดภัย พ้นจากโรคร้าย สีฟ้าสื่อถึงความสำเร็จในหน้าที่การงาน สีเหลืองคือร่ำรวยทรัพย์สมบัติ สีม่วงอายุยืน […]